วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561


โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2561

พระพรมสรร อภิวฑฺฒโน

แสดงธรรมเรื่อง คนดีที่โลกต้องการ

ที่ห้องSPD 4 สภาฯ

*******************

 

วันนี้เรามาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง การสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร  สวดแล้วเราก็ต้องปลื้ม เราผ่านวันสำคัญของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา 1 อาทิตย์  (วันวิสาขบูชา)

หนึ่งอาทิตย์ก่อนวันงานบุญใหญ่ และหลังวันงานบุญใหญ่ 1 อาทิตย์ ธรรมะหรือว่าบุญบารมีก็จะยังหลั่งไหลมาที่ศูนย์กลางกายของเรา ฉะนั้นเราก็จะต้องนึกทบทวนบุญที่เราได้สั่งสมในวันนั้นให้ปลื้มใจ

วันวิสาขบูชาได้ชื่อว่าเป็นวันของพระพุทธเจ้า พระองค์ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในวันประสูติ ถ้าเรามองให้เป็นหลักธรรม เกิดแรงบันดาลใจของเรา ส่วนตัวหลวงพี่เองมองว่า วันแรกที่เจ้าชายสิทธัตถะบังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ท่านมีเป้าหมายที่ชัดเจน ถึงกับเปล่งวาจาออกมาว่า ท่านเป็นเลิศที่สุด ประเสริฐที่สุด  เจริญที่สุด ภพชาตินี้เป็นภพชาติสุดท้าย  ท่านจะไม่กลับมาเกิดอีก นี่คือวันแรกที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านตั้งสัจจะอธิษฐานอย่างแน่วแน่

อันนี้จึงเป็นข้อคิดเป็นแรงบันดาลใจว่า ถ้าเราไปเจอเส้นทางที่ถูกต้องดีงามแล้ว เราต้องมีสัจจะตั้งให้มั่น ปักหลักให้มั่น  ไม่ว่าจะเจออะไรก็ตามจะไม่หวั่นไหว  เหมือนเจ้าชายสิทธัตถะ วันแรกที่เกิดมาก็รู้แล้วว่าเราจะต้องเยี่ยมที่สุด  เลิศที่สุด จะต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ แล้วระหว่างทางที่จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจออุปสรรคเยอะมาก  แต่ว่าวันแรกตั้งเป้าไว้ดี มีเป้าหมายที่ชัดเจน

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเจออะไรก็ตาม  มีสุขขนาดสุดยอดแห่งความสุข ที่ท่านสรุปว่าเป็น กามสุขัลลิกานุโยค สุขอย่างที่มนุษย์ปุถุชนธรรมดา ยากจะเข้าถึงได้  หรือลำบากสุดๆ ต้องทดลอง หลอกให้ให้เชื่อว่าหนทางนี้นะ พ้นทุกข์ ก็ไปบำเพ็ญทุกรกิริยา ที่เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยคถึง 6 ปี ถ้าเราเป็นเหมือนท่าน เป้าหมายไม่ชัดเจนอาจจะหลงระเริงอยู่ก็ได้  ในช่วงที่มีปราสาท 3 ฤดู แต่แม้ท่านจะหลุดจากความหลงระเริงนั้นไปแล้ว ก็ยังมาเจอบททดสอบอีก 6 ปี ทุกข์ทรมานอย่างนี้ แต่มโนปณิธานเป้าหมายที่ชัดเจน จึงไม่ย่อท้อ จนในที่ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในวันที่บรรลุธรรม เราได้ข้อคิด แรงบันดาลใจอะไร? ก่อนที่จะได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมารมาผจญ ทุกช่วงจังหวะของการสร้างบารมี แม้ว่าท่านบารมีเต็มเปี่ยม 30 ทัศแล้ว ก็ยังมีเทวบุตรมารมาผจญ   ยกไพร่พลเสนามารมาเยอะแยะเลย  ถ้าเป็นเราเจออย่างนั้นก็คงยอมไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้  เพราะกลัว  อย่าว่าแต่เราเลย เทวดาที่มีฤทธิ์เหาะเหิรเดินอากาศได้ทุกสวรรค์ชั้นฟ้า พรหม รูปพรหม ที่มาเฝ้าปรนนิบัติเจ้าชายสิทธัตถะเพราะรู้ว่าท่านกำลังจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้มีโอกาสฟังธรรมจากท่าน ได้ประโยชน์กับท่านก็เลยมาปรนนิบัติอย่างใกล้ชิด แต่พอเจอพญามารส่งเสนามารมาขนาดมีฤทธิ์มากก็ยังหนีเลย ลืมไปเลยที่เรามาเพื่อดูแลเจ้าชายสิทธัตถะมหาโพธิสัตว์ ด้วยความกลัวเป้าหมายไม่ชัดเจนก็เลยหนีดีกว่า

เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านก็นึกถึงบุญ นึกถึงบารมี ความดีทั้งหลายที่สั่งสมมาตลอดนับภพนับชาติไม่ถ้วน โดยเฉพาะตั้งแต่ตั้งความปรารถนาว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อ 20 อสงไขย กับแสนมหากัป เมื่อนึกถึงบารมีใจก็รวมไปที่ศูนย์กลางกาย บุญบารมีทั้งหลายก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมา ทำให้เสนามารต้องพ่ายแพ้ไป  นี่คือชัยชนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

หลังจากนั้นท่านก็ดิ่งเข้าสู่ศูนย์กลางกายจนได้ตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาของพวกเรา เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์ได้เข้าถึงหลักธรรมะที่ว่าด้วยอริยสัจ 4 ก็ถือว่าเป็นหลักให้กับชาวพุทธ ให้กับพวกเราสืบเนื่องมาถึงปัจจุบันนี้ แล้วท่านก็ได้เผยแผ่มาตลอด 45 พรรษา จนถึงวันที่ท่านเสด็จดับขันธปรินิพพาน เราได้ข้อคิดอะไร?

ในวันที่ท่านเสด็จดับขันธปรินิพพานเราได้ข้อคิด ปัจฉิมโอวาท  เป็นข้อคิดเตือนใจของเราได้เป็นอย่างดี ท่านตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารร่างกายของเราไม่เที่ยงมันเกิดขึ้นมา  ตั้งอยู่ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ตามกำลังบุญ  แล้วสุดท้ายก็ต้องเสื่อมสลายไป ท่านสอนอย่างนี้ ท่านอยากจะให้ทุกคนเห็นว่า  แม้แต่ตัวเราซึ่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมดกิเลสแล้วเลิศที่สุดแล้วในภพสาม ไม่มีใครเกินกว่าเรา ขึ้นชื่อว่ายังมีสังขารอยู่ก็ย่อมเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา

เพราะฉะนั้นสังขารไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมายึดติด มายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา เพราะไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่จะเป็นของเราอย่างแท้จริง พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสต่อไปว่า พึงยังประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท

45 ปีที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลาย  สรุปมาอย่างนี้  เพราะรู้จริตของคนในยุคนี้ว่า คนในยุคนี้หลงผิดว่าสังขารร่างกายเป็นของเที่ยงแท้ เป็นของสวยงาม เป็นของที่จะต้องมาดูรักษาให้เวลามากมาย ท่านก็เตือนสติว่าไม่ใช่นะ ร่างกายของเราที่ดูสวย ดูหล่อ เป็นแขนของเรา เป็นขาของเรา หูของเรา ตาของเราไม่ใช่ เป็นแค่เพียงของที่ยืมเขามาใช้แค่นั้นเอง ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ เรามีบุญจึงมีโอกาสได้ใช้ วันหนึ่งมันก็ต้องเสื่อมสลายไป ดิน น้ำ ลม ไฟเหล่านี้ ก็กลับไปสู่ธรรมชาติ ใครมีบุญเกิดมาใหม่ก็หยิบยืมมาใช้ต่อ นี่คือสิ่งที่เตือนสติของเรา และบอกว่าสิ่งที่เป็นของเราแท้จริงคือประโยชน์ตน

คำว่าประโยชน์ตน คือบุญบารมีและความดี เพราะฉะนั้นให้เราตั้งใจทำประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม คือตั้งใจสั่งสมบุญสร้างบารมีอย่างเต็มที่เต็มกำลัง นอกจากนั้นยังไม่พอ เราจะดีคนเดียว เราจะพ้นทุกข์คนเดียวไม่ได้  เราจะต้องมีจิตเมตตาเฉกเช่นเดียวกับพระพุทธองค์ด้วย

พระพุทธองค์ยังประโยชน์ตนให้ถึงพร้อมแล้ว ทรงมีคุณ 2 ประการ คือพระบริสุทธิคุณ ทรงหมดกิเลสแล้ว ทรงมีพระปัญญาธิคุณ รู้แจ้งโลกแล้ว และยังมีพระมหากรุณาธิคุณ หยิบยื่นโอกาสที่ดีเหล่านี้ให้กับคนอื่นด้วย พระพุทธองค์ทรงทำเอง แล้วสุดท้ายก่อนจะจากก็ทรงสอนอย่างนี้ด้วย ว่าต้องทำให้ตัวเองสมบูรณ์ให้ได้ แล้วหยิบยื่นโอกาสเหล่านี้เป็นกัลยาณมิตรไปแนะนำและชักชวนให้เขาหาประโยชน์ตนสำหรับเขาให้ได้ สั่งสมบุญ สั่งสมบารมีให้กับตัวเขาให้ได้  แต่ต้องไม่ประมาทนะ อันนี้คือสาระใจความสำคัญเลย

นี่คือวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา ถือว่าเป็นมรดกอันล้ำค่าตั้งแต่วันแรกที่ทรงตั้งสัจจะอธิษฐานแน่วแน่ จนในที่สุดได้บรรลุเป้าหมายตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทรงโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย 45 พรรษา วันนี้ผ่านมา 7 วัน เราลองนึกย้อนเหตุการณ์ วันนี้ในสมัยพุทธกาล หลังจากวันสำคัญ 3 ประการ ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน

หลังจากประสูติ 7 วัน พุทธมารดาทรงเสด็จสวรรคต พระนางปชาบดีโคตมี (พระน้านางเลี้ยงต่อ) จนในที่สุดตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากบรรลุธรรม 7 วัน ท่านเสวย วิมุติสุขอยู่ หันหน้าไปทางตะวันออก และหลังจากเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว 7 วัน รอพระมหากัสสปะพระสาวก ท่านใช้เวลาเดินทาง 7 วัน มีพิธีชำระสรีระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พวกเราลองนึกย้อนพระบรมครูเวลาท่านเจอภัยพาลหรือครูบาอาจารย์ของเราท่านเจออะไรมาบ้างซึ่งล้วนแล้วแต่หนักกว่าเรามากเลย แต่ท่านก็ผ่านมาได้  เรามานึกย้อนดูเราก็ทำอย่างท่าน เจ้าชายสิทธัตถะเจอพญามารส่งเสนามารมา ต้องการทวงบัลลังก์ บัลลังก์นี้แม้ทำด้วยหญ้าคาเพียงแค่ 8 กำ จะเป็นบัลลังก์แห่งการตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะปลดปล่อยสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ถูกขังอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง

ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะสามารถตรัสรู้ธรรมได้เหมือนกับท่านกำลังไขกุญแจกรงขังนี้ เปิดประตูออกมา  แล้วจะมีนักโทษจำนวนมากที่ถูกจองจำอยู่ยาวนานหลุดออกมา ซึ่งไม่เป็นผลดีจึงต้องมาขัดขวาง  พระพุทธองค์ท่านก็ไม่ได้ทรงปาฏิหาริย์กายหรือเอาอาวุธอะไรมาต่อสู้เลย เพราะรู้ว่าหนทางเดียวที่จะสู้กับพญามาร หรือกิเลส โลภ โกรธ หลง ได้  มีอย่างเดียวคือการสร้างบารมี บุญที่เราทำกลั่นควบแน่นเป็นบารมี ซึ่งท่านก็เตรียมมาพร้อมแล้ว 20 อสงไขย เศษแสนมหากัป

วันนี้ครบถ้วนแล้วทั้ง 30 ทัศ ทั้งบารมีธรรมดาที่สร้างบุญอย่างยิ่งยวด กลายเป็นบารมีทั้งเอาเลือดเนื้อร่างกายสละ เพื่อสร้างเป็นอุปบารมี หรือแม้แต่ถวายชีวิตให้กลายเป็นปรมัตถบารมี ทำ 3 ระดับแล้วเต็มเปี่ยมเรียกว่า 30 ทัศ   เพราะฉะนั้นท่านก็ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะวิธีการที่จะสู้กับพญามาร หรือกิเลสภายในใจก็คือการสร้างบารมี

ท่านก็เลยนึกถึงบุญ นึกถึงสัจจะอธิษฐานที่ตั้งใจว่าจะมาเพื่อการนี้ ไม่ได้ทรงต่อกรกับเสนามารทั้งหลายด้วยวิธีการทางโลกหยาบ ๆ เหมือนที่เขายกมา ท่านหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายแล้วนึกถึงบุญบารมี ในที่สุดเสนามารและเหล่ามารทั้งหลายก็พ่ายแพ้ไป นี่คือมารตัวที่ 1 แต่ท่านก็ถือว่ายังไม่ชนะเพราะมารที่แท้จริงมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถดลใจไปสิงสถิตย์กายหยาบ ๆ ท่านท้าวปรนิมมิตวสวัตตี แต่มารที่แท้จริงอยู่ในใจของเรา ท่านก็หลับตาดิ่งที่ศูนย์กลางกายสุดท้ายก็กำจัดมารได้ อันนี้ประการที่ 1

เหตุการณ์ที่ 2 อันนี้คือเรื่องของความไม่เข้าใจ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ความเชื่อหรือศาสนาอื่นๆที่มีอยู่เดิมและมีคนนับถือศรัทธาอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อพระพุทธองค์ทรงเผยแผ่พระศาสนาไป คนที่มีปัญญาคิดพิจารณาตามคำสอนพระพุทธเจ้าก็คิดว่าเราหลงผิดมานานแล้ว ไปเชื่อสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสารเลย พอมาฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้ใช่ ถูกต้อง จึงมานับถือพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมาก จนศาสนาอื่นหรือความเชื่อนั้นมีความรู้สึกว่าถ้าปล่อยเอาไว้อย่างนี้สำนักของเราคงจะล่มสลายไปได้ เพราะฉะนั้นจะต้องหยุดการเผยแผ่ของพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปย้อนดูจะคล้ายกับปัจจุบันเพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องใหม่เลย

เราในฐานะที่กำลังต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งเป็นภัยคุกคามพระพุทธศาสนา เราจะต้องมองย้อนกลับไปว่าเราจะต่อสู้ยังไง ไม่ให้เราเกิดวิบากกรรมใหม่ขึ้นมา

พระพุทธเจ้าก็ทรงเจอเหตุการณ์คล้ายๆกัน ศาสนาหรือความเชื่ออื่นต้องการดิสเครดิต เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเผยแผ่ไปในทิศทางที่ดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศนาสั่งสอนและทรงปฏิบัติจนคนศรัทธา ถ้าไม่อยากให้คนนับถือก็ทำให้คนเสื่อมศรัทธา พระถือว่าเป็นเพศพรหมจรรย์ ไม่มีครอบครัว ไม่มีการแต่งงาน ไม่มีคู่ครอง แต่ถ้าเกิดว่า มีเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้ขึ้นมา ความศรัทธาก็อาจจะสั่นคลอนได้ จึงเป็นช่องว่างให้คนในศาสนาอื่นๆ มีความคิดว่า จะใช้วิธีการนี้ในการดิสเครดิตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงจ้างนางจิญจมาณวิกา มีความสวยงาม สร้างเรื่องเพื่อใส่ร้ายพระพุทธเจ้า

การสร้างเรื่องใส่ร้ายก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ฟังแล้วควรพิจารณาก่อน จิญจมาณวิกาออกอุบาย ในตอนเช้าคนเข้าวัดไปทำบุญถวายภัตตาหารพระ เพราะว่าพระท่านอดมาตั้งแต่เที่ยงถึงเช้า 18 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นไปเอาบุญกับท่านเถอะ ท่านหิวจริง เป็นโอกาสของญาติโยมได้น้อมถวายภัตตาหารที่ประณีต  นี่ก็เป็นปกติของชาวพุทธในสมัยพุทธกาล

นางจิญจมาณวิกา ออกอุบายเดินสวนเข้าวัดในตอนกลางคืนที่คนกำลังเดินออกมาไปแอบนอนซุกตามใต้ศาลา ก็มีความพยายาม คนชั่วเวลาทำความชั่วในยุคนี้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตรงข้ามกับเรานะเวลาทำความดีก็เอาชีวิตเป็นเดิมพัน เสียดายนะ ขึ้นชื่อว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพันลำบากนะ ทำบุญก็ลำบาก ถ้าไม่ลำบากก็ไม่ได้บารมี ขึ้นชื่อว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพันเหมือนกัน ถ้าเขาเป็นสัมมาทิฏฐิ เขาเอามาทำความดีไม่ใช่ได้แค่บุญ แต่ได้เป็นบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี แต่นี่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทำความชั่วก็ชั่วสุดๆเลย เรียกว่าชั่วแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

พอตอนเช้าตื่นมาทำผ้าหลุดลุ่ย ผมยุ่ง คนเอาอาหารไปทำบุญก็เดินสอนออกมา พอมีคนถามก็ตอบว่าก็นอนที่นี่เมื่อคืน ฉันก็กลับบ้านเสร็จภารกิจแล้ว  พูดตั้งปมเอาไว้ พอคนมีปัญญาไม่มากฟังแล้วมีความรู้สึกว่า ไม่ชอบมาพากลแล้วหญิงคนนี้คิดมาทำอะไรมาอยู่ในวัดตอนกลางคืน ในวัดมีใคร มีพระภิกษุ มีสามเณรอยู่ มานอนที่ไหน นอนกับใคร คนก็จะคิดไปเรื่อย และทำอย่างนี้หลายครั้ง ครั้งแรกอาจจะไม่คิดมากแต่พอหลายครั้ง เรียกว่าจิตวิทยา ภาษาปัจจุบันเรียกว่า IO (Information operation) ใช้เทคโนโลยีในการสร้างข่าว บิดเบือนหรือชี้นำสังคมให้คล้อยตามไปในทิศทางไหน ออกข่าวซ้ำๆๆ ตอนแรกอาจจะเฉยๆ พอเห็นซ้ำๆก็เหมือนกัน มีตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว

จนในที่สุดคนก็เริ่มระแวงสงสัย เริ่มซุบซิบนินทากัน เริ่มสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมเสียก่อน หลังจากนั้นเมื่อเวลาได้ช่อง ต้องใช้เวลาจึงจะสมเหตุสมผล ก็เหมือนปัจจุบันนี้ใส่ข่าวร้ายไปเรื่อยๆ ถึงเวลา ขณะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม นางยอมเจ็บเอาไม้ทุบตัวเองให้บวมให้ช้ำเหมือนคนกำลังท้อง  เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำความชั่ว  แล้วมายืนต่อหน้าพระพักตร์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้หน้า พูดว่า สมณโคดมท่านดูแลแต่คนอื่น เทศน์สอนแต่คนอื่น คนในบ้านเดียวกันไม่ดูแล ลูกน้องบริวารก็มากมายจะใช้ให้ใครมาดูแล ถามไถ่ทุกข์สุขสักนิดก็ไม่มี ท่านช่างใจดำเหลือเกิน ทำให้คนสับสนวุ่นวาย ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าหมดกิเลสแล้ว แต่คนสมัยก่อนแม้ได้เจอพระพุทธเจ้าโดยตรง  แต่ปัญญาคิดไม่ได้ว่าท่านหมดกิเลสแล้ว  ไม่มีทางทำอย่างนั้นเลย

เพราะฉะนั้น คนในยุคนี้ถ้าจะหลงผิดเชื่อกระแสตามที่เขาป้อนมาหลอกเป็นเรื่องธรรมดา เพราะพระในปัจจุบันไม่มีฉัพพรรณรังสี พระพุทธเจ้ามีฉัพพรรณรังสีออกจากกาย 1 วา คนสมัยนั้นยังไม่เชื่อเลยว่าพระพุทธเจ้าหมดกิเลสแล้ว เพราะฉะนั้นยุคนี้ก็ไม่แปลก แต่เราก็มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าเจออย่างนี้ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำยังไง การจะชนะคนที่ใส่ร้ายป้ายสี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนิ่ง ทุกคนก็นิ่ง  แต่แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายที่มั่นคง และอีกฝ่ายที่เชื่อตามกระแส    พระพุทธองค์ท่านก็ทรงนิ่งอย่างดุษฎี  พระพุทธองค์พูดเป็นปริศนาขึ้นมา  แก้ด้วยวาทะไปว่า  เรื่องนี้ ในมหาสมาคมนี้มีแค่เราสองเท่านั้นแหละที่รู้ดี

 สุดท้ายด้วยอานุภาพแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้สั่งสมมา พระอินทร์บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ร้อน ส่องลงมาเจอเหตุการณ์ ทำให้พระอินทร์แปลงร่างเป็นหนูไปกัดเชือกที่นางมัดท่อนไม้ไว้ที่ท้อง เชือกขาดท่อนไม้หล่นลงมา สุดท้ายความจริงก็กระจ่างปรากฏขึ้นมา  นางจิญจมาณวิกาวิ่งหนีสุดสายตามหาชน  ผลก็คือ ธรณีสูบนางจิญจมาณวิกาไปสู่อเวจีมหานรกขุมที่ 8 ในทันที  (อันตราย ย่อมเกิดขึ้นต่อผู้ทำอันตราย ต่อผู้ที่ไม่เป็นอันตราย)

นี่คือข้อคิดให้พวกเราการที่พระศาสนาเจอภัยพาล ก็เจอมารศาสนาตั้งแต่สมัยพุทธกาล  ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธจะทำอย่างไรดี แล้วก็เตือนสติให้กับผู้ที่กำลังตั้งใจทำความชั่วอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน สุดท้ายแล้วจุดจบก็เหมือนกับนางจิญจมาณวิกา แต่ต้องใช้เวลาหน่อย แต่ว่าไม่ได้ไปดีแน่นอน อันนี้ก็เป็นเรื่องราวที่นำมาเล่าเผื่อว่าใครได้ยินได้ฟังจะได้ทบทวนโยนิโสมนสิการบุญในตัวที่ยังมีบ้างที่กำลังทำความชั่ว คิดชั่ว พูดชั่วอยู่ จะได้สำนึกขึ้นมาและหยุดการกระทำนั้นเสีย อย่างน้อยๆหนักก็จะได้เป็นเบา อย่าถลำลึกลงไปมากกว่านั้นเลย

หรือแม้แต่ในยุคของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ก็ยังเจอ นึกถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 สามารถทำลายประเทศไทยได้จริงๆ วัดปากน้ำก็ไม่เหลือ ฐานทัพในการนั่งสมาธิที่เรียกโรงงานทำวิชชา นั่งสมาธิตลอด 24 ชั่วโมง  การปฏิบัติธรรมแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันก็จะหยุดลง พระเดชพระคุณหลวงปู่ต่อสู้กับสิ่งนี้อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

หลวงปู่รักษาฐานทัพ ก็คือวัดปากน้ำ บุญสถานในการสร้างบารมี เผยแผ่พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ใช้วิธีการนั่งสมาธิเหมือนกัน  นึกถึงบุญบารมี ความดีทั้งหลาย สุดท้ายสงครามโลกก็ผ่านพ้นไป ฐานทัพในการสร้างบารมีก็ยังคงอยู่  แต่เหตุการณ์ก็ยังไม่จบ เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่เข้าถึงธรรมะท่านก็เผยแผ่ไปคนเชื่อว่าท่านเข้าถึงธรรมะจริงก็มี   คนไม่เชื่อก็มี   และกล่าวหาว่าอวดอุตริมนุสยธรรม ไม่ได้บรรลุจริง  แต่อ้างว่าตัวเองเข้าถึงธรรม ต้องการล้มหลวงปู่ขนาดจ้าง (นายรอด) มายิงจะเอาให้ตาย ยิงถูกจีวรทะลุ 2 รู แต่จีวรก็อยู่ติดตัว พระเดชพระคุณหลวงปู่ก็รู้ว่าต้นตอที่แท้จริง เขาไม่ได้คิดอยากจะชั่ว อำนาจกิเลสบีบบังคับให้เขาต้องทำ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปเอาเรื่องราวเขา คนที่ได้กรรมเพิ่มมาอีกคือตัวเรา

พระเดชพระคุณหลวงปู่รู้ตลอดสายเลย แม้ใครจะมายั่วยวน ทำให้เคลิบเคลิ้มหรือทำให้โกรธ หลวงปู่ไม่ต่อกรเลย นิ่งอย่างเดียว ไม่เอาเรื่อง แต่ตำรวจบอกไม่ได้มันจะเป็นเยี่ยงอย่าง สุดท้ายก็จับเข้าคุก ด้วยวิบากกรรมที่ทำกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ หลวงปู่ท่านสั่งสมบารมีมา กว่าจะได้บรรลุธรรม ตั้งมโนปณิธานว่าจะไปที่สุดแห่งธรรม  บรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด ใครทำกับท่านก็ถือว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ทำความชั่วแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน วิบากกรรมก็เห็นทันตา ถูกจับติดคุก

พอถึงวันที่จะออก หลวงปู่ก็เห็นว่าวิบากกรรมหนักมาก แม้จะพ้นคุกแล้ว แต่วิบากกรรมยังตามส่งผลอยู่ ท่านเห็นเลยว่าบาปที่ทำมาในอดีต  มารวมกับบาปที่อาฆาตพระเดชพระคุณหลวงปู่ซึ่งท่านไม่ได้เป็นอันตรายเลย ก็เลยเข้ากับคำที่ว่า อันตราย ย่อมเกิดขึ้นกับผู้ที่ทำอันตราย ต่อผู้ที่ไม่เป็นอันตราย สุดท้าย พระเดชพระคุณหลวงปู่บอกว่า ไอ้รอด วันนี้มันจะออกจากคุก ชื่อมันรอด แต่วันนี้มันจะไม่รอด เพราะท่านเห็นด้วยญาณทัสนะว่าหมดบุญแล้ว คู่อริก็คือคู่กรรมเก่าตามมาเจอกันพอดียิงตาย นี่ก็คือวิธีการของหลวงปู่ครูบาอาจารย์ของเรา

ส่วนของเราเองเจอภัยพาลมีคนมาเยี่ยมเราหลายพัน มาเฝ้าอารักขาเราอย่างดี ไม่ยอมไห้ไปไหน ถ้าเทียบแต่ละยุคก็หนักคนละแบบ เจ้าชายสิทธัตถะก็เจอหนัก  ขนาดเทวดายังหนี หลวงปู่จีวรทะลุเลย ระเบิดจะลงวัดปากน้ำคือหวุดหวิดทั้งนั้นเลย ส่วนของพวกเราก็ถ้านานกว่านี้ก็ไม่แน่ แต่เราผ่านจุดที่เราเดือดร้อนที่สุดมาได้อย่างไร ?? เราต้องถามตัวเองนะเมื่อก่อนเราต้องศึกษาประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประวัติพระเดชพระคุณหลวงปู่ แต่นี่ไม่ต้องศึกษาถามตัวเองว่าผ่านมาได้อย่างไรเพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง

มีข้อปฏิบัติจากใครคนหนึ่งให้เราได้ปฏิบัติร่วมกัน สรุปวิธีการมาให้มีอยู่  4 ข้อคือ

1.ต้องรักษาใจของเราให้ใสๆไม่ขุ่นมัว สมมติว่าเรากำลังเจอศึกอยู่อาจจะไม่ได้มาดูแลเราตลอด 24 ชั่วโมง แต่ก็ส่งมาทางสื่อให้เราได้เห็น ถ้าเรากำลังจะต่อสู้กับภัยพาลเหล่านี้ เราต้องรักษาใจตรงนี้ให้ใสให้ได้

2.นึกถึงบุญที่เคยสั่งสมมา เหมือนกับเจ้าชายสิทธัตถะพอใจใส ใจของเราเมื่อรู้สึกคิดได้ทีละอย่างถ้าคิดถึงบุญ บาปก็แทรกไม่ได้ ถ้าคิดถึงบาป บุญก็แทรกไม่ได้ แต่ใจของเราเกิดดับ เกิดดับ เร็วมาก หนึ่งวินาทีเกิดดับเป็นล้านครั้ง เพราะฉะนั้นเราจะรู้สึกว่าใจของเรามันเปลี่ยนเร็วมาก เดี๋ยวบุญ เดี๋ยวบาป แต่ถ้าเราประคองไปเรื่อยๆหลุดไปบาปก็ดึงกลับมา ประคองไปเรื่อยๆ จะสามารถอยู่กับบุญได้นานๆ พอใจใสบุญเก่าที่สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วนก็จะได้ช่องมาส่งผล บางทีอาจจะไม่ทันใจต้องนึกช่วยด้วย อันไหนที่ช่วยได้ก็ช่วย นึกถึงบุญที่พอนึกได้ เพราะบุญเกิดขึ้น 3 วาระ (ก่อนทำ ขณะทำ หลังจากทำไปแล้ว) เพราะฉะนั้นหลังสถานการณ์ที่เราตกทุกข์ได้ยากโอกาสที่จะทำบุญเพิ่มยาก เราให้บุญเกิดขึ้นด้วยวิธีการนึกถึงบุญง่ายที่สุดแล้ว ไม่ต้องไปลงทุนอะไร

3.นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ไว้ที่ศูนย์กลางกายให้ได้ตลอดเวลา ตอนนี้หลายบุญมาเชื่อมต่อกันแล้ว ตอนแรกทำใจใสก็เหมือนล้างภาชนะให้สะอาด พอนึกถึงบุญใสๆ ก็เหมือนกับเอาบุญมาเติมใส่ นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ เชื่อมสายบุญกับท่านอีก เร็วแรงเลยตอนนี้ นึกถึงก็คือละเอียด แต่ก็เอาหยาบด้วย

4.สวดสรรเสริญพระเดชพระคุณหลวงปู่ สลับ กับการสวดธัมมกัปปวัตตนสูตร

นี่ก็คือวิธีการที่เราจะทำได้ผล ซึ่งเราผ่านตรงนั้นมาแล้ว เพราะฉะนั้น วิกฤติพระพุทธศาสนาที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือกำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ เราในฐานะที่เป็นชาวพุทธฟังแล้วอาจจะกังวลใจ แต่ก็อย่าลืมหลักที่เราทำเอาไว้แล้วที่เราผ่านพ้นจุดตรงนั้นมาได้แล้ว เพราะไม่มีทางอื่นเลย ที่เราจะไปต่อสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ถ้าเราทำพร้อมกันทุกคนก็จะมีอานุภาพเอง

หลวงพ่อทัตตชีโว ท่านเคยให้หลักการไว้ว่า เมืองไทยเป็นเมืองร้อน ร้อนด้วยกิเลสของคน คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว เราในฐานะที่มีกิเลส และสำแดงกิเลสออกมา เราก็เหมือนท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่จุดไฟติดแล้ว ไฟโลภะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ แล้วเราก็สุมเข้าไปในเตาพร้อมกันเลย ซึ่งเตานี้ก็มีประเทศไทยเป็นกระทะตั้งอยู่ข้างบน ใส่น้ำอย่างดีเลย แล้วเราก็ใช้ไฟกิเลสของเรา รบกัน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันใส่ร้ายป้ายสีกันดุ้นไฟท่อนเดียวก็ร้อนเอาไปมาต่อกันก็เป็นสองแต่เรามี 60-70  ล้านคน เหมือนดุ้นไฟ 60- 70 ล้านดุ้นสุมไปที่ประเทศไทยที่เปรียบเหมือนกระทะตั้งน้ำ ตอนนี้กำลังเดือดอยู่ จะทำให้ประเทศไทยเย็น น้ำเย็นทำยังไง ก็ต้องดับไฟ

แต่คำว่าดับไฟมันต้องดับทุกคน เพราะทุกคนมีไฟ เริ่มดับไฟที่ตัวเราก่อน อย่างน้อยๆ ถ้าดับไม่ได้ดึงมันออกมา อย่าไปลงขันทำให้มันวุ่นวาย ดึงเราออกมาแล้วค่อยหาทางดับ ก็คือไม่ให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงของเราไปกระทบกับคนอื่น ให้มันลุกเผาตัวเองแล้วเราก็ค่อยๆดับ วิธีการคือทำใจใสๆ อย่าไปกังวล นึกถึงบุญ นึกถึงครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยาย นึกไว้ที่แหล่งบุญคือศูนย์กลางกายฐานที่ 7  สวดมนต์บทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เราทำได้คนหนึ่ง  เพื่อนเราก็ทำได้ หมู่คณะของเราทำได้ ประเทศไทยเราทำได้ ประเทศก็จะเย็นได้ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นที่ตัวของเราก่อน นี้ก็คือวิธีการเมื่อเราเจอเหตุการณ์ไม่ดีแล้วจะสู้อย่างไร ??

หลวงพ่อท่านสอนเราอยู่เสมอย้ำซ้ำอยู่บ่อยๆว่า เมื่อใดที่เราตกทุกข์ได้ยาก เพราะถึงเวลาที่วิบากกรรมของเราส่งผล ถ้าเราลำบากคนเดียวแสดงว่าเราทำกรรมนั้นคนเดียว แต่ถ้าเราถูกขังร่วมกัน มีคนมาเฝ้าดูแลเราอย่างดีนั่นก็หมายความว่าเราทำบาปมาร่วมกัน อย่างนี้เป็นต้น  ถ้าตกทุกข์ได้ยาก เกิดวิกฤติ เกิดอันตราย หรือหมู่คณะของเรา มันบ่งบอกว่าวิบากกรรมมันถึงเวลาส่งผล เราสู้ด้วยวิธีการของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิธีการของพระเดชพระคุณหลวงปู่ด้วยการทำใจให้ใสๆ ณ เหตุการณ์ตอนนั้นเราทำบุญไม่ได้ เราก็ใช้วิธีการนึกถึงบุญ แต่ถ้าเหตุการณ์นั้นพ้นวิกฤตที่จองจำเราแล้ว เรามีอิสรภาพในการไปสั่งสมบุญเพิ่ม เราก็ต้องสั่งสมบุญให้เต็มที่ หลักๆ 3 หมวดคือ ทาน ศีล ภาวนา ให้เต็มที่เต็มกำลัง

ถ้าเราทำอยู่แล้วก็ยังมีเหตุการณ์อย่างนี้อยู่ บ่งบอกว่ายังไม่พอ ถ้าเรากลับไปทำเท่าเดิมก็ช่วยไม่ได้ เพราะฉะนั้น หลักการที่หลวงพ่อสอนเรามาตลอด และเราก็เข้าใจอย่างนี้มาตลอด ส่วนว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าจะสอนตัวเราได้มากน้อยแค่ไหน

เราจึงต้องทำให้มันมากกว่านี้ จึงจะสู้กับวิบากกรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสสั่งสมบุญในยุคนี้ถือว่ายังมีโอกาสดี เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่คนมาเฝ้าเราที่เราอยากจะทำบุญตักบาตร ก็ไม่รู้ไปเอาอะไรมาใส่ กินก็ยังไม่อิ่มเลย แม้มีเงินอยู่ เงิน ณ ตอนนั้นช่วยอะไรไม่ได้ จะไปซื้อของกับใคร

เพราะฉะนั้น ณ ตอนนี้ให้คิดว่าเรายังโชคดีที่เรามีอิสรภาพในการสร้างบุญบารมีได้อย่างเต็มที่ อย่าให้มันเกิดเหมือนที่เกิดมาแล้ว เรารีบทำ รีบไปตัดรอนเลยอย่าดูเบาว่ามันไม่เกิด จะทำตอนที่เกิดก็ไม่ทัน เพราะการส่งผลของบุญต้องมีระยะเวลาของการส่งผล เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีเวลาต้องหมั่นสั่งสมบุญกัน

 #ฝันในฝัน   #โรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน   #โรงเรียนฝันในฝัน  #กฏแห่งกรรม #ธรรมะ #แสดงธรรม #นักเรียนอนุบาล  


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น