วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561


     โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
       วันพุธ ที่ 6  มิถุนายน พ.ศ. 2561
   
พระนิพนธ์ ธมฺมพนฺโธ 
แสดงธรรม เรื่องนิทรรศการโรงเรียนต้นแบบ
ห้อง SPD 4 สภาธรรมกายสากล
****************

    ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบคาราวะพระเถรานุเถระ และเพื่อนสหธรรมิกทุกรูป เจริญพรนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทุก ๆ ท่านนะ วันนี้ตรงกับวันพุธ ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2561 ถือว่าเป็นวันดี ถ้าเราตื่นมา แล้วมีทัศนคติที่ดี  ทุก ๆ วันจะเป็นวันมงคล
  เรามาดูกันแต่ละคน เข้าระบบทางการศึกษา ก็ต้องเรียน สมัยก่อนผู้ใหญ่ เริ่มเรียนตอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อายุประมาณ 7 ปี เดี๋ยวนี้มีชั้นอนุบาล เริ่มเรียนตอนอายุ 5 ขวบ ปัจจุบันมีเตรียมอนุบาลด้วย เรียนกันตั้งแต่ 3 ขวบ กว่าจะจบการศึกษาที่เราสนับสนุนก็คือ อย่างน้อยปริญญาสัก 1 ใบ คือปริญญาตรี อายุประมาณ 20-22 ปี แสดงว่าเราหมดไปกับการเรียนเกือบ 20 ปี
 การเรียน การศึกษา ในวิชาทางโลก เรียนจบมาแล้ว บางทีไปทำงานก็คนละแบบ กับที่เรียนมา ต้องไปศึกษาเพิ่มเติม ไปเรียนอย่างอื่นเพิ่ม ปัจจุบันเรียนวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ยังไม่พอ เรียนวันเสาร์ อาทิตย์ด้วย เรียนพิเศษติวเข้มกันเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นเราก็จะหมดเวลากับการเรียน ถ้าใครเกิดมาในยุคนี้ ก็จะหมดไปกับการเรียน ประมาณ 20 ปี กับการศึกษา 
แต่ 20 ปีนี้ผู้ที่จบการศึกษาแล้ว ยังไม่สามารถเอาตัวรอด จากภัยในวัฏฏะสงสารได้ จริงอยู่ที่บอกว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน แต่ถ้าเรียนไปจนแก่ แล้วยังไม่รู้วิธีเอาตัวรอดจากภัยในวัฏฏะสงสาร ยังไม่รู้วิธีเอาตัวจากกฎแห่งกรรม ก็ถือว่าการเรียนนั้นยังไม่สัมฤทธิ์ผล ยังไม่ตรงวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหน หรือศึกษามามากน้อยแค่ไหนก็ตาม ท่านใดที่ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ถือว่ายังเรียนไม่จบวิชชาชีวิต
  พระอาจารย์ในส่วนงานที่รับผิดชอบงานเยาวชน ก็มีตัวอย่างการเรียนศีลธรรม ที่เกี่ยวข้องกับโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 กำลังดำเนินโครงการอยู่ วันที่ 8 มิถุนายน ก็จะเป็นวันเปิดนิทรรศการ การเรียนรู้พระพุทธศาสนาเกี่ยวกับห้องเรียนต้นแบบ เราจะเอาความรู้ในห้องเรียน ที่ควรมีในระบบการศึกษา ไปถ่ายทอดให้กับโรงเรียนต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่โรงเรียนในจังหวัดปทุมธานี ประมาณ 200 โรงเรียน แล้วก็ขยายผลจากห้องเรียนต้นแบบ ไปสู่โรงเรียนต้นแบบ เป็นการริเริ่มโครงการที่ดี
โครงการนี้นำเสนอเกี่ยวกับ เป็นโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา 200 ห้องเรียนต้นแบบ สู่ 66 โรงเรียนต้นแบบ รักษ์บวร รักษ์ศีล 5ปทุมธานีสู่ประเทศไทย 4.0 เฉลิมพระเกียรติ 66 พรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกร บดินทรเทพยวรางกูร ประจำปีการศึกษา 2561 เป็นโครงการดำริของท่านเจ้าคณะจังหวัด พระเดชพระคุณพระเทพรัตนสุธี ท่านเล็งเห็นความสำคัญ ของการนำศีลธรรมไปสู่ใจของเยาวชน ด้วยการนำเข้าไปสู่การเป็นห้องเรียนต้นแบบ
หลักการสำคัญ งานที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน คือไปสนับสนุนงานที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน แล้วก็ทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ผ่านกระบวนการคิด แล้วก็วิเคราะห์ และนำมาปฏิบัติ ผู้เรียนมีศักยภาพในการเรียนมากขึ้น ควบคู่ไปกับศีลธรรมด้วย
จะสังเกตเห็นได้ว่าเยาวชนสมัยนี้สมาธิสั้นเหลือเกิน ปกติในอดีตพ่อแม่อาจจะบ่นเรา แต่เราก็ทนฟังจนจบ เพราะเรารู้ว่ามีประโยชน์ แต่ปัจจุบันนี้แค่จะฟัง คำสอนจากพ่อแม่ ฟังยังไม่ถึง 2 บรรทัดเลย สมาธิสั้น ไม่รู้พ่อแม่บ่นอะไร สอนอะไรแล้ว กระบวนการเรียนรู้ที่เริ่มจาก พื้นฐานความดีต่าง ๆ พื้นฐานที่ควรจะเป็นของนักเรียนต่าง ๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น
       
บทฝึก 7 บท สำหรับนักเรียน จริง ๆ แล้วทำได้ทุกระดับชั้นเลย
บทฝึกข้อที่ 1 . การเดิน คุณครูบางคนสงสัย เข้าโรงเรียนได้แล้ว ทำไมต้องมาเรียนรู้การเดิน ต้องถามกับตัวเองว่า ตั้งแต่ใช้ชีวิตมานี่ เราสังเกตการณ์เดินของคนปกติทั่วไปไหมว่า คนที่ว่าปกติ เวลาเดินปกติหรือไม่
เราจะสังเกตได้ว่า บางคนเดินแล้วหลังค่อม บางคนเดินแล้วตัวส่าย บางคนเดินแล้วบิดซ้าย บิดขวา บางคนเดินแล้วขาดสติชนสิ่งโน้น สิ่งนี้ สะดุดโน้น สะดุดนี่ เพราะฉะนั้นการเดินก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ควรจะต้องฝึกให้กับเยาวชน ขั้นพื้นฐานเช่นเดียวกัน เดินอย่างไรให้ถูกต้องถูกหลักสรีรศาสตร์เป็นต้น 
บทฝึกข้อที่ 2 . การถอดและวางรองเท้า ทำไมต้องสอนการถอดและวางรองเท้า ถ้าไม่สอนก็จะเห็นร้องเท้าวางระเกะระกะ แค่อุปกรณ์ในการให้ความสะดวกส่วนตัวสุด ๆ คือรองเท้า ส่วนใหญ่ไม่ใช้ร่วมกับใคร ถ้ายังถอดและเป็นระเบียบไม่ได้ การรับผิดชอบอย่างอื่น ก็ทำได้ยากเช่นเดียวกัน
พระอาจารย์เคยเห็นอยู่ครั้งหนึ่ง ต่อหน้าต่อตาเลยว่า มีการอบรมพระ น่าจะปี 2552 สมัยนั้นเราเข้าโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ที่บ้านแก้วเรือนทองคุณยาย หลังจากจบโรงเรียน คุณครูไม่ใหญ่ก็นั่งรถออกมา ผ่านตรงระเบียง ประมาณระเบียง 7 คือห้องแก้วสารพัดนึกปัจจุบัน ผ่านปุ๊บท่านสังเกตว่า รองเท้าวางไม่เป็นระเบียบ ท่านก็บอกให้สารถีจอด แล้วเดินลงมาจัดด้วยมือของตัวเอง     
เจ้าอาวาส คุณครูไม่ใหญ่ หลวงพี่กำลังเดินไปพอดี ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกว่านี่คือครูที่ดีของเรา ไม่เพียงแค่สอนแต่ทำให้ดูด้วย ก็ไม่รู้จะทำยังไง นั่งคุกเข่าพนมมือตรงนั้นแหละ นั่งอธิษฐานจิตว่า เราจะตั้งใจฝึกตัวเองให้ดี แล้วก็ตั้งใจฝึกน้อง ๆ รุ่นต่อไปให้ดีด้วย เพราะว่าคุณครูไม่ใหญ่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เสร็จแล้วท่านก็ขึ้นรถไปทำภารกิจต่อ ซึ่งภารกิจท่านในแต่ละวันเยอะมาก ๆ ในขณะนั้นก็เล็งเห็นความสำคัญความเป็นระเบียบ เป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐาน ที่เราควรนำมาปฏิบัติ   
บทฝึกข้อที่ 3 . ทำความเคารพ ปฏิสันถารครู ก่อนที่จะเรียนหนังสือ จะมีการทำความเคารพ โดยนักเรียนก็จะยืนขึ้น กล่าวคำว่า สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ คุณครู ...คุณครูก็บอก สวัสดี นักเรียน  ...นั่งลง ...ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ ตอนเช้าก็ Good morning teacher  ..Good morning student ...How are you today ?...I’m fine. thank you and you … I’m fine. thank you sit down
ประโยคนี้ใช้ทั้งประเทศเลย ยาวนาน 20-30 ปี ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ I’m fine. thank you sit down ก็ต้องบอกให้นั่งลงด้วย เป็นการปฏิสันถารที่ดีขั้นพื้นฐาน เพียงแต่ว่าบางครั้งมันไม่ได้ออกมาจากใจของนักเรียนเท่านั้นเอง แล้วในบางครั้งก็ไม่รับประกันว่า ออกมาจากใจคุณครูเช่นเดียวกัน มีผลการสำรวจออกมาแล้วว่า นักเรียนจะเรียนดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับทัศนคติ ที่มีต่อคุณครูด้วย คุณครูจะเต็มที่ ตั้งใจสอนเด็กแต่ละคน ก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับทัศนคติคุณครูที่มีต่อเด็กแต่ละคนด้วย  
ไม่ต้องมาก บางทีลูกเราแต่ละคน บางทีรักไม่เท่ากันนะ บางทีหลานเราแต่ละคน บางทีเราก็จะเอ็นดูไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับทัศนคติที่มีต่อคนนั้น การทำความเคารพคุณครูอย่างถูกหลักและเปิดรับทัศนคติที่ดี ที่มีต่อครู ให้กับนักเรียนได้ ทั้งผู้สอนแล้วก็ผู้เรียน เมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อกัน มีความจริงใจต่อกัน การเรียนการสอนก็เกิดประโยชน์สูงสุด นี่คือบทฝึกข้อที่ 3        
บทฝึกข้อที่ 4 ทำความสะอาดโต๊ะ เก้าอี้ ที่ใช้เรียน ย้อนอดีตไปสมัยเราเป็นนักเรียน โต๊ะที่เรียนหนังสือมีสภาพเป็นอย่างไร ถ้าเป็นโต๊ะไม้ก็จะมีการแกะสลักข้อความต่าง ๆ เอาดินสอ เอาปากกาไปขีด ไปเขียน เราจะมา Update ข่าวที่โต๊ะเรียนว่า วันนี้มีข่าวอะไรบ้าง ใครต่อยกับใคร ใครตบตีกับใคร ใครเป็นแฟนใคร ใครแซวใคร ใครจีบใครก็จะถูกบันทึกไว้ที่โต๊ะเรียนเรา
อ่านแล้วเราจะรู้ว่า วันนี้ใครทำอะไรบ้าง มีการด่าทอกันเกิดขึ้นด้วย ปัจจุบันก็จะเป็น Liquid Paper เขียนกันไปเขียนกันมา เป็นบรรยากาศที่ไม่ดีในห้องเรียน เราก็จะมาส่งเสริมกันว่า โต๊ะเรียนเราจะให้เป็นโต๊ะเรียนที่มีความสะอาด ปราศจากข้อความที่ไม่ดี หรือข้อความที่ดีก็ไม่ควรเขียน ก็ควรจะเป็นสมบัติของโรงเรียน สมบัติส่วนรวมที่เราต้องรักษาร่วมกัน
บทฝึกข้อที่ 5 การจัดระเบียบข้าวของเครื่องใช้ ต้องยอมรับว่าคุณพ่อคุณแม่บางคนก็ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการจัดระเบียบข้าวของเครื่องใช้ ในขณะเดียวกันบางบ้านก็ไม่มีเวลาที่จะดูแลตรงนี้ อย่าว่าแต่เด็ก คุณพ่อ คุณแม่ บางทีก็ทิ้งข้าวของเกะกะเหมือนกัน
เมื่อข้าวของไม่เป็นระเบียบ หาของไม่เจอ เมื่อหาไม่เจอ ก็เอาของคนอื่นมาใช้ก่อน ถือวิสาสะ ใช้ดีปุ๊บเป็นไง เอามาเป็นของตัวเองเลย การลักขโมยก็เกิดขึ้น ถ้าทุกคนจัดของให้เป็นระเบียบ อยู่ตรงไหนก็จำได้ หยิบมาใช้ก็ใช้ได้ทันที ไม่ต้องไปหยิบยืมของคนอื่นด้วย        
บทฝึกข้อที่ 6 . นั่งสมาธิก่อนเรียน ก็ไม่ต้องมาก เอาแค่พอทำให้ใจหยุดนิ่ง แล้วพร้อมที่จะเรียนรู้ไปกับคุณครู ถ้าสามารถนั่งสมาธิก่อนเรียนได้ เด็กก็จะตั้งอกตั้งใจในการเรียน จะรู้เป้าหมายการเรียนแต่ละวันว่า วันนั้นต้องเรียนวิชาอะไรบ้าง แล้วต้องทำอะไรบ้าง
บทฝึกข้อที่ 7 เรียนรู้เรื่องบทสวดมนต์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการให้ความเคารพต่อพระรัตนตรัย นึกถึงพระรัตนตรัย นึกถึงสิ่งที่ควรบูชาควบคู่ไปด้วย นี่ก็เป็นบทฝึกทั้ง 7 ข้อ ที่จะไปฝึกในห้องเรียนต้นแบบ แล้วจะขยายไปสู่โรงเรียนต้นแบบต่อไป  นี่ก็จะเป็นการวิพากษ์หลักสูตรต่าง ๆ โดยรวม กรรมการฝ่ายสงฆ์ ก็ร่วมมือกันหลายฝ่าย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน
มีการเปิดอบรมครูสอนศีลธรรม จ.ปทุมธานี ครูพระสอนศีลธรรม บ้าน วัด โรงเรียน ยังเป็นบวรพระพุทธศาสนาที่เหนียวแน่น เราต้องร่วมมือกัน มีการสัมมนาแล้วก็ประชุมกัน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ก็ทำงานกันอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุด แล้วก็วันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมาก็มอบป้าย ให้กับโรงเรียนต้นแบบ เพื่อที่จะไปพัฒนา ให้เกิดใช้ได้จริงในพื้นที่ทั่วจังหวัดปทุมธานี   
รูปแบบสื่อก็จะมีวิทยากรที่มีความรู้ ในเรื่องของระบบการศึกษา เข้าใจอย่างถ่องแท้ รวมไปถึงการใช้สื่อต่าง ๆ เป็นสื่อที่คุณครูได้ มีหลักปฏิบัติ ยืน เดิน นั่ง พื้นฐานจริง ๆ แต่ว่าหาคนที่ทำถูกน้อย เราก็จะมาสอนพื้นฐานแบบนี้ เพื่อที่จะปรับใช้ แล้วก็เป็นนักเรียนที่มีคุณภาพต่อไปด้วย นี่ก็เป็นตัวอย่างห้องเรียนต้นแบบ สู่การเป็นโรงเรียนต้นแบบ
ซึ่งทางเจ้าคณะจังหวัด พระเทพรัตนสุธี เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสมาเรียนรู้ หลักปฏิบัติการ ที่โถงช้างวัดพระธรรมกาย วันที่ 8 มิถุนายน ก็จะเป็นพิธีเปิดแล้วก็จัดกิจกรรม ฐานกิจกรรมต่าง ๆ ให้ความรู้กับคุณครูและก็นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ และก็มีภาพยนตร์ 3 มิติ ให้ด้วยทางพุทธศิลป์ท่านก็เมตตามาจัดนิทรรศการ แล้วก็ภาพยนตร์ 3 มิติ
ใครมีโอกาสพระอาจารย์ก็ขอเชิญชวน มาร่วมกิจกรรมได้ เริ่มวันที่ 8 มิถุนายน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าเป็นต้นไปถึง 3 โมงเย็น เปิดให้ชม เข้าร่วมกิจกรรมถึงวันที่ 13 กรกฎาคม ประมาณ 1 เดือน จะได้มีโอกาสมาเรียนรู้กิจกรรมฟื้นฟูศีลธรรมโลก กิจกรรมห้องเรียนต้นแบบ แล้วก็นำไปสู่โรงเรียนต้นแบบต่อไปในอนาคต เชื่อเหลือเกินว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้น ของการพัฒนาระบบการศึกษา โดยการนำศีลธรรมเข้าไปควบคู่กับการเรียนการสอนในปัจจุบันด้วย 168 โรงเรียน 304 ห้องเรียน ทั้งจังหวัดปทุมธานี
พระอาจารย์ก็นึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลนี้เป็นบุคคลต้นแบบ ที่เราควรยึดถือและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ถ้าเราสังเกตปัจจุบันนี้ก็จะมีคน มีสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา ภาพยนตร์ ที่นำเสนอในเรื่องการเป็น Superhero เมื่อก่อนก็จะเป็น Superman Batman ปัจจุบันมี Superhero เยอะแยะ ที่เกิดจากจินตนาการของมนุษย์ แล้วก็เป็นต้นแบบของเด็ก ๆ ที่จะเป็น Hero ในอนาคต
ถ้าจะเอาจริง ๆ แล้วต้นแบบความเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพระองค์ตั้งใจที่จะเป็นต้นแบบของที่สุดในความเป็นมนุษย์ ที่สมบูรณ์แบบที่สุด 20 อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัป สั่งสมมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเต็มเปี่ยม แล้วก็มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำความรู้ที่มีอยู่จริงในธรรมชาติมาบอกมากล่าวว่า ในธรรมชาตินั้นมีกฎแห่งกรรมอยู่ ในธรรมชาตินั้น มีนรกมีสวรรค์อยู่ ในธรรมชาตินั้น มีวิบากกรรมที่เรา มวลมนุษย์ชาติ และสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเผชิญ
พระองค์เอาความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ แล้วสั่งสอนว่า ทำอย่างไรถึงจะพ้นไปจากกฎแห่งกรรม ทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารไปได้ นี่ก็เป็นความรู้ที่เราควรศึกษา จำเป็นอย่างยิ่ง จำเป็นมากกว่าวิชาทางโลกซะอีก เพราะอันนี้คือวิชาทางธรรม ตายไปเกิดใหม่กี่ภพกี่ชาติ กฎแห่งกรรมก็ยังอยู่ แต่ว่าวิชาทางโลกที่เราเรียนอยู่ทุกวันนี้ หมดไปชาตินี้ ชาติหน้าก็ลืมแล้ว เรียนมากี่ชาติก็เอามาใช้ในชาตินั้น ๆ ชาติเดียวเท่านั้น        
แต่ว่าวิชาชีวิตก็คือวิชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ได้ทุกชาติ ใช้ได้จนกว่าจะเข้าสู่นิพพาน เพราะฉะนั้นความรู้นี้เป็นความรู้ที่เราจะต้องมีติดตัวไปทุกภพทุกชาติเช่นเดียวกัน หลัก ๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ท่านสอนสัมมาทิฏฐิ 10 ประการ คือความเห็นที่ถูกต้อง เป็นจริง
1 . ทานให้แล้วมีผลจริง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุทาน วิทยาทาน ธรรมทาน หรือแม้แต่อภัยทาน มีผล มีสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วมีผลกระทบต่อผู้ที่ทำทานด้วย    
2 . ยัญที่ทำแล้วมีผล ยัญในที่นี้ไม้ได้หมายถึงเครื่องรางของขลัง หมายถึงการบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การกระทำอย่างนี้มีผล
3 . การเซ่นสรวงหรือการบูชามีผล อันนี้ไม่ได้หมายความว่า เป็นการบูชายัญ หรือการทำความเชื่อที่ที่งมงาย การเซ่นสรวงในที่นี้ หมายถึงการให้ความเคารพต่อพระรัตนตรัย ต่อสิ่งที่ควรบูชา อันนี้มีผล
4 . วิบากแห่งกรรมดี กรรมชั่ว มีผล ใครก็ตามที่เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กรรมดี กรรมไม่ดี มีจริง ถือว่าเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฐิ
5 . โลกนี้มีจริง เชื่อในการกระทำในโลกนี้ว่า มีจริง
6 . โลกหน้ามีจริง เชื่อว่าเราตายไปแล้ว ชีวิตหลัวความตายมีจริง โลกหน้ามีจริง การไปเกิด มาเกิด มีอยู่จริง
7 . มารดามีคุณจริง มีบางคนไม่เชื่อ มารดามีพระคุณมีอยู่ไหม มี สัมมาทิฐิจะบอกว่า แม่มีบุญคุณกับเราจริง ถือว่าเป็นสัมมาทิฐิ
8 . บิดามีคุณจริง
9.สัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นมีจริง การเกิดแบบโอปปาติกะ มีอยู่จริง ตัวอะไรบ้างเช่นวิญญาณ ภูต ผี ปีศาจ สัตว์นรก เทวดา
10 . พระอรหันต์ผู้สามารถรู้แจ้งโลกหน้า มีอยู่จริง คือคนสามารถเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ คนที่มีทิพยจักษุในการรู้แจ้ง เห็นจริงในธรรมชาติ มีอยู่จริง
ท่านใดก็ตามที่มีความเชื่อทั้ง 10 ข้อนี้มีอยู่จริง และเป็นผลจริง ๆ ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ซึ่งในปัจจุบันถามว่า ทั้ง 10 ข้อ บางคนก็เชื่อไม่ครบ 10 ข้อ บางคนไม่เชื่อสักข้อก็มี หรือบางคน นอกจากไม่เชื่อแล้วยังย้อน แย้งอีกต่างหาก ไม่ได้พิสูจน์อะไร
ซึ่งจริง ๆ ในอดีตก็เคยเกิดเหตุการณ์ของคนที่มีความเชื่อไม่ตรงไปตามความเป็นจริง เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิเช่นเดียวกัน ไม่ต้องอาศัยการศึกษามากหรือการศึกษาน้อย ไม่ได้ผูกเกี่ยวกับคนที่มีอายุมาก หรืออายุน้อย ไม่ได้มีเฉพาะคนที่มีตำแหน่งสูง หรือตำแหน่งน้อยในสังคม มิจฉาทิฏฐิหรือความเชื่อที่เห็นผิด สามารถอยู่ได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานะ ซึ่งน่ากลัวมาก ๆ
วันนี้พระอาจารย์ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับมิจฉาทิฐิ ของบุคคลท่านหนึ่ง   ชื่อว่าพระเจ้าปายาสิ เป็นเจ้าเมืองเสตัพยนคร ไม่เชื่อว่าโลกหน้ามีจริง ไม่เชื่อว่าภพชาติมีจริง ไม่เชื่อว่ากรรมดีกรรมชั่วมีจริง ก็คือเป็นมิจฉาทิฐิทั้งหมดเลย แบบดิ่ง นอกจากไม่เชื่อแล้วยังมีความย้อนแย้งอีกต่างหาก แต่ผู้ที่จะมาแถลงไข ทำให้พระเจ้าปายาสิลดทิฐิมานะ แล้วมานับถือความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ผู้นี้มีชื่อว่า พระกุมารกัสสปะ
มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจ เป็นบุตรที่เกิดจากภิกษุณี ทำไมภิกษุณีมีลูก ต้องย้อนไปสมัยพุทธกาล มีหญิงสาวลูกเศรษฐีคนหนึ่ง สั่งสมบุญมาทุกภพทุกชาติจนเต็มเปี่ยมแล้ว จนสามารถจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้แล้ว ก็ปรารถนาที่จะไม่ครองเรือน แต่โดนพ่อที่เป็นเศรษฐีบังคับให้แต่งงาน แต่งตามใจพ่อไป ตัวเองขอพ่อออกบวชมาหลายครั้งแล้ว ไม่อนุญาตสักที คิดว่าจะแต่งงานแล้วขอสามีออกบวช  เพราะใจอยากออกบวช มีอยู่ตลอดเวลา  พอแต่งงานไปแล้ว
วันหนึ่งมีการแสดงมหรสพในเมือง งานเทศกาลใหญ่ ๆ ใครก็อยากไปเที่ยว ใครก็อยากที่จะแต่งตัวออกไปโชว์ แต่หญิงท่านนี้เบื่อหน่าย ไม่อยากออกไปชมการแสดง สามีก็ถามทำไมเธอไม่ออกไปดูการแสดง มหรสพ ภรรยาตอบสามีว่า เบื่อ ดูไปก็เท่านั้น ร่างกายมนุษย์มีอวัยวะครบ 32 เป็นอวัยวะที่เป็นรังแห่งโรค ตายไปแล้วร่างกายนี้ก็จะเป็นรังของหนอนหลาย ๆ สายพันธุ์
สามีพูดว่า ถ้าคิดได้อย่างนี้ก็ไปบวชซะเถอะ ภรรยาดีใจมาก ที่สามีสนับสนุนการบวชตัวเองแล้ว เก็บเสื้อผ้า ออกไปบวชในสำนักภิกษุณีทันที  ขณะที่บวชไปด้วยเกิดอาการแปลก ๆ มือบวม เท้าบวม หน้าบวม  ท้องก็โตขึ้น ภิกษุณีที่อยู่ในอารามเดียวกัน ก็สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงผู้นี้ เกิดข้อสงสัย น่าจะตั้งครรภ์ เอาแล้วนักบวชตั้งครรภ์ ก็เป็นเรื่องโจษขานกันไป
ภิกษุณีรูปนี้ ไปบวชในสำนักที่เกี่ยวข้องกับพระเทวทัต เรื่องก็เลยไปถึงพระเทวทัตว่า ภิกษุณีรูปนี้ตั้งครรภ์ พระเทวทัตด้วยความที่ 1 . ไม่มีขันติ 2. ไม่มีความเมตตามากพอ ก็เลยคิดว่า จะนำความเดือดร้อนมาสู่ตน เพราะตัวเองเป็นเจ้าของสำนักแล้วภิกษุณีนี้บวชในสำนักตัวเอง จำทำให้ชื่อเสียงของสำนักของพระเทวทัตเสียหาย ก็เลยสั่งให้ภิกษุณีรูปนี้ไปลาสิกขา เพื่อนภิกษุณีก็นำความนี้ไปบอกให้ภิกษุณีรูปนี้ทราบ     
ภิกษุณีรูปนี้ก็ด้วยความที่ปรารถนาอยากออกบวชทั้งชีวิต ก็เลยบอกไปว่า เราบวชเพราะความศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคนที่จะทำให้เราสิกขาลาเพศไปได้ ก็คือพระพุทธเจ้าเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์ เราออกบวชเพราะความศรัทธาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความผิดอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ต้องได้รับการไต่สวนก่อน  ต้องไต่สวนให้เรียบร้อย รู้ความจริงก่อน ก็เลยไปที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร ไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่ยังตั้งท้องใกล้คลอดแล้วนะ 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ด้วยข่ายพระญานแล้วว่า เหตุนี้เกิดจากอะไร และผลจะเป็นยังไง แต่เพื่อความกระจ่าง ก็เรียกประชุมบุคคลที่น่าเชื่อถือ 1 . พระเจ้าปเสนทิโกศล 2 . อนาถบิณฑิกเศรษฐี 3 . ลูกชายอนาถบิณฑิกเศรษฐี 4 . มหาอุบาสิกาวิสาขา และอื่น ๆ เศรษฐีและคนน่าเชื่อถือในเมืองนั้นมาประชุมพร้อมกัน พร้อมทั้งนำตัวภิกษุณีรูปนี้ มาสอบสวน แล้วก็ให้นางมหาอุบาสิกาวิสาขา ทำการตรวจครรภ์ ก็วิชาการทางการแพทย์สมัยนั้น  
นางมหาอุบาสิกาวิสาขา ก็ยืนยันเลยว่าภิกษุณีรูปนี้ตั้งครรภ์ ก่อนที่จะมาบวชเป็นภิกษุณี เพราะฉะนั้นหลังจากการบวชเป็นภิกษุณีแล้ว ก็มีความบริสุทธิ์ บริบูรณ์เช่นเดียวกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นดังนั้นก็ประกาศว่า ให้ภิกษุณีรูปนี้บวชอยู่ต่อ จนกระทั่งคลอดออกมาเป็นบุตรชาย
พระราชาเห็นว่าภิกษุณี เป็นเพศไม่เหมาะที่จะเลี้ยงเด็ก ก็เลยรับเด็กคนนั้นไปเลี้ยง แล้วก็ตั้งชื่อว่ากัสสปะ พออายุได้ 7 ปี กัสสปะก็ออกบวช ชื่อไปซ้ำกับพระมหากัสสปะ สาวกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นภันเตกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยเรียกว่า กุมารกัสสปะ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 20 พรรษา ก็ออกบวชพระต่อ
คือเรื่องราวกุมารกัสสปะ ที่จะชี้แจงแถลงไข เป็นเอตทัคคะด้านการบรรยายธรรมโดยวิจิตร คือสามารถยกตัวอย่างให้คนเข้าใจได้โดยง่าย ความรู้มีอยู่ความรู้อะไรก็ตามที่สามารถเชื่อมโยงให้คนเข้าใจได้ง่าย ถือว่าเป็นศิลปะขั้นสูง เพราะบางทีเราไปทำหน้าที่กัลยาณมิตร เกิดคนอื่นถามคำถามที่บางทีเราเองไม่รู้ ตอบไม่ได้ คำตอบสุดฮิตของคนรักษาฟอรม์ตัวเอง คือมันเป็นเรื่องอจินไตย พอบอกเป็นเรื่องอจินไตย เกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องอธิบายอะไรต่อ มันเกิดจินตนาการของมนุษย์ ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่ ถ้ารู้ก็ต้องหาศิลปะมายกตัวอย่าง อธิบายให้ได้
          
     พระเจ้าปายาสิ มีความเชื่อที่เป็นมิจฉาทิฐิอยู่แบบดิ่งเลย คือไม่เชื่อว่าโลกหน้ามีจริง โลกนี้มีจริง ก็เลยเข้าไปถามคำถามกับพระกุมารกัสสปะว่า เขาได้ทำการทดลอง 7 อย่างด้วยกัน เป็นการทดลองที่ค่อนข้างโหดร้าย เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย
ทดลองอันที่ 1 จับนักโทษประหาร มาที่ลานประหาร สั่งนักโทษคนนั้นว่า เมื่อตายไปแล้ว มาบอกด้วยว่า นรกมีจริง จากนั้นประหารชีวิตนักโทษ การทดลองใช้ชีวิตมนุษย์เป็นหลักเลยนะ ปรากฏว่าพระเจ้าปายาสิ รอแล้วรอเล่า ก็ไม่มีใครมาบอกว่า ชีวิตหลังความตายมีอยู่ แล้วตกนรกไปไหน ก็เลยสรุปว่า ชีวิตหลังความตายไม่มี นรกไม่มี      
พระกุมารกัสสปะอธิบายว่า ดูก่อนมหาบพิตร สมมุติเราจับนักโทษคนหนึ่ง เอามาที่แดนประหารแล้ว เพชฌฆาตกำลังจะทำการฆ่า นักโทษคนนั้นขอร้องว่า ขอไปทำธุระก่อน ตัวเองมีธุระทางโลก มีลูก มีเมีย ขอกลับไปทำธุระก่อน เสร็จแล้วจะกลับมาให้ฆ่าใหม่ ถามพระเจ้าปายาสิว่า เป็นอย่างนั้น ท่านเป็นเพชฌฆาต ท่านจะปล่อยให้นักโทษไปทำอย่างนั้นไหม พระเจ้าปายาสิก็บอกว่าไม่เด็ดขาด ปล่อยไปนี่เข้าป่าแล้วหายไม่กลับมาแน่ เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่พื้นฐานรักชีวิตตัวเอง
ก็เหมือนกัน คนที่ตายไปแล้วตกนรกนี่ นายนิรยบาล ไม่อนุญาตแน่นอน  คนตายไปแล้วเช่นเดียวกัน ตกนรกไปก็ไม่มีโอกาสที่จะมา บอกเล่าเรื่องราวในนรกให้เราฟังหรอก ยกตัวอย่างขนาดนี้แล้ว พระเจ้าปายาสิก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี หัวแข็งมาก ๆ
ทดลองอันที่ 2 ทดลองกับคนดี แต่ไม่ได้ฆ่าคนดีนะ ไปดูว่าใครที่เป็นคนดีบ้าง ที่เป็นญาติพระเจ้าปายาสิ แล้วดูว่าใกล้ตายหรือยัง ก็ไปสังเกตการณ์ พอใกล้จะตายปุ๊บคนที่ทำความดีมาทั้งชีวิตนี้ พระเจ้าปายาสิก็ชี้บอกเลยว่า ตายไปแล้วถ้าขึ้นสวรรค์ให้กลับมาบอกด้วยว่า สวรรค์เป็นยังไง
หลังจากนั้นคนดีคนนี้  ทำความดีมาทั้งชีวิต ทาน ศีล ภาวนา ตายปุ๊บก็ไม่เห็นมีใครมาบอกเล่าเรื่องราวชีวิตหลังความตาย หรือว่าเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์ ให้พระเจ้าปายาสิฟังเลย พระองค์ก็เลยสรุปว่า ชีวิตหลังความตายไม่มี ทำความดีแล้วไม่มีผล
พระกุมารกัสสปะ ก็อธิบายว่า ดูก่อนมหาบพิตรเปรียบเสมือนว่า บุคคลที่ตกลงไปในบ่อคูถ คือบ่ออุจจาระ เมื่อปีนตะเกียกตะกายขึ้นมาด้วยความยากลำบาก แล้วอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ประพรมตัวเองให้หอมแล้ว แล้วอัญเชิญขึ้นไปอยู่บนปราสาทเสวยความสุข อยู่เยี่ยงเทวดาแล้ว ถามว่าอยู่มาวันหนึ่งจะขอร้องให้คนนั้นโดดลงไปในบ่อคูถ ให้ดูอีกรอบ เอาไหม พระเจ้าปายาสิก็ตอบว่าไม่เอา เพราะว่าพ้นจากความทุกข์มาแล้ว     
เช่นเดียวกันบุคคลที่ทำความดีมาตลอด ตายแล้วไปเสวยสุขบนสรวงสวรรค์ สถานะของเทวดาเหม็นกลิ่นเหม็นมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ที่ไม่รักษาศีล เหม็นเหมือนคูถ เหม็นเหมือนสุนัขตายเน่าไป เทวดาจะหลีกหนี ไม่ยอมมาสุงสิงด้วยเช่นเดียวกัน เทวดาก็จะไม่มาบอกหรอกว่าสวรรค์มีจริง ก็ค่อนข้างบอกพระเจ้าปายาสิ ท่านเองก็กลิ่นตัวเหม็นของเทวดาเหมือนกัน ก็ไม่อยากจะลงมาสมาคมด้วย ยกตัวอย่างขนาดนี้ พระเจ้าปายาสิก็ยังไม่ลดทิฐิมานะในตัวเอง 
การทดลองอันที่ 3 ก็ไปเอาญาติของอำมาตย์ ที่ทำความดีมาทั้งชีวิต แล้วก็ใกล้ตายแล้ว ก็ไปยืนสั่งอีกว่า ท่านเมื่อตายไปแล้วกลับมาบอกด้วยว่า สวรรค์มีจริง แล้วอยู่สวรรค์ชั้นไหน พอสิ้นใจตายปุ๊บญาติของอำมาตย์ ที่เป็นคนดี ทำความดีมาทั้งชีวิตนี้ ก็ไม่เห็นมาบอกอะไรเลย ก็เลยสรุปผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ว่า ชีวิตหลังความตายไม่มี นรก สวรรค์ ไม่มี  
            พระกุมารกัสสปะ ก็ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ดูก่อนมหาบพิตร ในโลกของการเสวยสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 1 วันสวรรค์ เท่ากับ 100 ปีมนุษย์ เพราะฉะนั้นผู้ที่ตายไปแล้ว ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ญาติของอำมาตย์คนนี้ ตายไปแล้วปุ๊บพอไปเสวยสุขในวิมานของตัวเอง ก็จำได้แหละว่าถูกสั่งมาว่า ให้ลงไปบอก
เพียงแต่ว่าเจอทิพยวิมานแล้วก็เสวยสุข ขอไปเดินเที่ยวสวนแป๊บหนึ่ง ขอไปดูสระโบกขรณีแป๊บหนึ่ง ขอไปกราบพระจุฬามณีแป๊บหนึ่ง เทียบกับเวลามนุษย์แล้ว หลายร้อยปีมนุษย์ เขาก็เลยไม่มีโอกาส มาบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ท่านได้ เพราะถ้าลงมาอีกรอบหนึ่ง พระเจ้าปายาสิก็คงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ตาม พระเจ้าปายาสิก็ยัง เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่เชื่อเรื่องความเป็นจริงของชีวิตอยู่ดี อยู่สวรรค์ชั้นไหน ก็ยังไม่เชื่อนะว่าสวรรค์ชั้นต่าง ๆ มีอยู่จริง เพราะตัวเองก็ไม่เคยเห็น
พระกุมารกัสสปะก็อธิบายว่า ก็เสมือนว่ามีเศรษฐีคนหนึ่งมีภรรยา 2 คน คนที่ 1 มีลูกอายุ 10 ปี ภรรยาคนที่ 2 มีบุตรอยู่ในท้อง ก่อนที่เศรษฐีจะเสียชีวิตได้บอกไว้ว่า ภรรยาคนที่ 2 คลอดแล้วเป็นลูกชายจะยกสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง คลอดออกมาแล้วเป็นผู้หญิง จะไม่ยกสมบัติให้ จะยกให้ลูกชายคนโตเพียงผู้เดียว ลูกสาวที่อยู่ในท้องภรรยาจะต้องมาเป็นทาสรับใช้ 
เมื่อเศรษฐีตายไปแล้ว ลูกชายภรรยาคนที่ 1 อยากรู้ว่าในท้องภรรยาคนที่ 2 เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไปถามอยู่นั่นแหละว่า ตกลงลูกในท้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย สมัยนั้นไม่มี Ultrasound รู้ได้ยาก ถามทุกวันเรื่อย ๆ จนกระทั่ง ภรรยาเศรษฐีคนที่ 2 เกิดความรำคาญ ก็เลยตัดสินใจเอามีดผ่าท้องตัวเอง เด็กที่เกิดมาจากท้องนั้น เพศชาย แต่อนิจจาเด็กนั้นก็เสียชีวิต แล้วภรรยาคนที่ 2 เสียชีวิตไปด้วย
พระเจ้าปายาสิตอบคำถามก่อนหน้านี้ว่า ในเมื่อคนทำความดี แล้วไปสวรรค์ทำไมไม่รีบฆ่าตัวตายไปซะ พระกุมารกัสสปะอธิบายดังนี้ว่า คนทำความดีเขาไม่อยากรีบตาย ไม่อยากรีบไปเสวยสุขบนสวรรค์  เพราะเขาอยู่โลกมนุษย์ เขาสามารถสร้างความดีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าไปเรื่อย ๆ ทำไมจะต้องรีบตายด้วย เช่นเดียวกันเด็กที่อยู่ในท้องก็ไม่ต้องผ่าออกมา เป็นลูกชายก็ได้เสวยผลบุญ เสวยความสุขเช่นเดียวกัน  
การทดลองข้อที่ 4 . พระองค์ทรงจับนักโทษมาใส่หม้อ แล้วพันรัดด้วยหนังสัตว์ โบกติดข้างบนด้วยดินเหนียว เสร็จแล้วเอาไปต้มให้เดือด แล้วเปิดออกมาดู เปิดดูแล้วเรายังไม่เห็นวิญญาณนักโทษหลุดออกมาเลย แสดงว่าวิญญาณไม่มีอยู่จริง ชีวิตหลังความตายไม่มีอยู่จริง นรกสวรรค์ไม่มีอยู่จริง เห็นไหมทำการทดลองแล้ว   
พระกุมารกัสสปะ ก็บอกว่าดูก่อนมหาบพิตร เปรียบได้กับว่าเมื่อท่านนอนหลับแล้วฝันไป ท่านไปสู่ที่นั่นที่นี่ ไปพบคนนั้นคนนี้ ถามว่าเหล่าข้าราชบริพาร ที่นอนอยู่รอบ ๆ ตัวท่าน รู้ไหมว่าท่านไปที่ไหนบ้าง พระเจ้าปายาสิบอกว่า ไม่รู้ซิ เพราะเราฝันของเราคนเดียว เช่นเดียวกันวิญญาณของนักโทษ เมื่อหลุดออกจากร่างแล้ว ก็ไปสู่ที่ที่เขาควรจะต้องไป ก็ไม่มีใครเห็นเช่นกันเดียวกัน เปรียบเทียบขนาดนี้ก็ยังไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายอยู่ดี
การทดลองอันที่ 5 .  มีความเป็นนักวิทยาศาสตร์มากเลย คือจับนักโทษ ใครเป็นนักโทษในเมืองนี้ในสมัยนี้ ถือว่าโชคร้ายมาก ๆ เลย พระเจ้าปายาสิจับมาทำการทดลองชีวิตหลังความตาย เอานักโทษมาชั่งน้ำหนักก่อนตาย แล้วก็เอานักโทษมาชั่งน้ำหนักหลังจากตายแล้ว ปรากฏว่านักโทษที่ตายไปแล้ว มีน้ำหนักมากกว่านักโทษที่มีชีวิตอยู่ คือช่วงมีชีวิตอยู่น้ำหนักเบากว่า ช่วงที่ตายไปแล้ว
พระเจ้าปายาสิก็เลยสรุปผลการทดลองเลยว่า เห็นไหม ตายไปแล้วหนักกว่าเดิม  แสดงว่าวิญญาณไม่มี ถ้าวิญญาณมี น้ำหนักต้องมากกว่าตอนที่ตายไปแล้ว เพราะวิญญาณหลุดออกจากร่าง ตัวก็ต้องเบาขึ้นซิ แต่นี่ตัวหนักกว่าเดิม
พระกุมารกัสสปะอธิบายว่า ดูก่อนมหาบพิตร เหล็กที่เผาไฟจนร้อน มีน้ำหนักน้อยกว่า ตีให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ง่ายกว่า ดัดให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ง่ายกว่า ฉันใด มนุษย์ที่ตายไปแล้ว เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ร่างกายนั้นก็จะมีน้ำหนัก ร่างกายมนุษย์ที่มีวิญญาณอยู่ จะอ่อนนุ่มกว่า สามารถที่จะเคลื่อนย้ายได้ดีกว่า เหมือนเหล็กที่เผาไฟฉันนั้น พระเจ้าปายาสิฟังอย่างนี้แล้ว ก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยังคงทำการทดลอง
การทดลองอันที่ 6 จับนักโทษมาอีกแล้ว ไม่ทำให้บอบช้ำ ไม่มีการทุบตีใด ๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้ตายเอง แล้วก็จับหงาย จับคว่ำ จับตะแคง เปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อย ๆ สังเกตว่าวิญญาณจะออกมาทางไหน วิญญาณจะไปทางไหนบ้าง
พระกุมารกัสสปะก็บอกว่า ดูก่อนมหาบพิตร เปรียบเสมือนคนที่เป่าสังข์ หอยที่สามารถเป่าแล้วมีเสียง คนที่เป่าสังข์ในหมู่บ้าน 3 ครั้ง คนในหมู่บ้านก็ออกเดินมาดูว่า เสียงมาจากที่ไหน ก็ปรากฏว่ามาเจอสังข์วางอยู่กับพื้น คนในหมู่บ้านก็เลยจับสังข์อันนั้น มาพลิกหน้า พลิกหลัง พลิกไปพลิกมา ก็ยังไม่เห็นว่า เสียงจะเกิดขึ้นอย่างไร
จนกระทั้งมีนักปราชญ์คนหนึ่ง เดินผ่านมา หยิบสังข์ขึ้นมาแล้วเป่าออกไป แล้วเกิดเสียง เป่าไปแล้วเกิดเสียงปุ๊บ ชาวบ้านจึงรู้ว่า ที่มีเสียงได้เพราะเกิดจากการเป่า เพราะฉะนั้นศพของนักโทษ ที่ถูกฆ่าตายแล้ว พลิกไปพลิกมา ด้วยแรงของคนที่กำลังพยายามทำกับศพนั้น ไม่ได้เกิดจากวิญญาณที่ถูกกระทำขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าจะทดลองอะไรก็ตาม ทดลองให้ตรงกับหลักวิชชา คือจะทดลองเรื่องวิญญาณ ก็ต้องมีจิตที่สามารถไปเห็นวิญญาณได้ ถ้าทดลองผิดวิธีความเชื่อของท่านก็ยังเป็นมิจฉาทิฐิ พระเจ้าปายาสิก็ยังไม่ยอม ยังทำการทดลองต่อไป    
    
การทดลองอันที่ 7 ก็คือจับนักโทษ ทำการหั่น เฉือน ก็คือเลาะกระดูกออก เลาะเส้นเอ็นออก ดูเส้นประสาทต่าง ๆ เพื่อหาว่าวิญญาณซ่อนอยู่ตรงไหน ในร่างกายบ้าง เฉือนออก ๆ ดูว่าอยู่กระดูกชิ้นไหน อยู่ในกล้ามเนื้อไหน อยู่ตรงเส้นประสาทไหน อยู่ตรงเส้นเอ็นไหน แต่ก็ไม่เห็นวิญญาณ  สรุปการทดลองครั้งนี้ว่า วิญญาณไม่มีอยู่จริง ชีวิตหลังความตายไม่มีอยู่จริง                         
พระกุมารกัสสปะบอกว่าดูก่อนมหาบพิตร การกระทำของทานเสมือนว่า มีพราหมณ์ผู้บูชาไฟอยู่คนหนึ่ง บูชาไฟคือก่อไฟให้ติดตลอดเวลา เมื่อพราหมณ์ผู้นั้นจะไปทำธุระการใดก็ตาม ก็สั่งให้เด็กมาดูไฟไว้ อย่าให้ดับ เด็กก็ดูไป เล่นไป จนกระทั่งลืม ปล่อยไฟให้ดับ กลัวความผิดจะเกิดขึ้น จัดการหาว่าไฟหายไปไหน
ก็เลยเอาฟืนมาผ่าครึ่ง ผ่าไปเรื่อย ๆ มาแซะดูว่าไฟซ่อนอยู่ตรงไหนของฟืน ของเถ้าถ่าน เขี่ยดู มาฝานเป็นชิ้นเล็กหมด แล้วเอามาตำ แล้วเอาเศษฟืนโปรยไปในอากาศเพื่อหาว่าไฟ หายไปไหน จนพราหมณ์มาเห็นบอกวิธีจุดไฟให้กับเด็กว่า เอาฟืนมาสีกันให้เกิดความร้อน จะเกิดประกายไฟขึ้นมา ไฟไม่ได้ถูกซ่อนอยู่ในไม้ แต่ไฟเกิดจากปฏิกิริยาเสียดสีกัน
เช่นเดียวกับพระองค์ หากจะหาวิญญาณอยู่ไหน ไม่ใช่เอาร่างมนุษย์มาชำแหละ แล้วค้นหาวิญญาณ ท่านเองก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้นี้ที่ทำการทดลอง โดยตั้งสมมุติฐานมาแบบผิดวิธี พระเจ้าปายาสิฟังดังนี้แล้ว ก็ยังไม่เป็นสัมมาทิฐิ ยังคงเชื่อวิญญาณไม่มีจริงต่อไป
  พระกุมารกัสสปะเล็งเห็นว่า มิจฉาทิฐิครอบงำ อย่างสุด ๆ จริง ๆ ก็บอกว่า เชิญชวนว่ามหาบพิตร ชีวิตหลังความตายนั้นมีอยู่จริง ก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า ก็เหมือนกับคน 2 คน เป็นพ่อค้า มีบริวารทั้งคู่คือเกวียน 500 เล่ม คนที่ 1 เดินทางไปในทะเลทราย เห็นชายคนหนึ่งเดินมา เนื้อตัวเปียกปอน บอกว่าข้างหน้ามีบ่อน้ำ ท่านจงทิ้งสัมภาระทั้งหมด เอาไปก็หนัก แล้วไปดื่มน้ำบ่อหน้า ชายคนที่ 1 เชื่อดังนั้น สั่งให้ปลดสัมภาระหมดเลย ไปถึงจุดนั้นแล้ว ไม่เจอบ่อน้ำเลย เจอยักษิณีปลอมตัวมา แล้วจับคนเดินทางทั้งหมดกินเป็นอาหาร เสียชีวิตทั้งหมดเลย    
พ่อค้าอีกคนหนึ่งเห็นคนเดินผ่านมาตัวเปียก สังเกตเห็นว่า ไม่มีเงา แววตาก็ไม่มีเงา ไม่เชื่อ ไม่ปลดสัมภาระ สามารถมีเสบียงที่จะเดินทางข้ามทะเลทรายต่อไปได้ พระองค์เองก็เหมือนกับคนที่เดินทางคนแรก รู้เรื่องราวความจริงอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ยอมที่จะทิ้งทิฏฐิมานะตัวเองลงได้ ฟังถึงขนาดนี้ พระเจ้าปายาสิ ก็บอกกับพระกุมารกัสสปะว่า เราทำอย่างนั้นไม่ได้ คือเราเป็นสัมมาทิฏฐิไม่ได้   เพราะอะไร ???
เพราะเราประกาศตัวมาทั้งชีวิตแล้ว เราไม่เชื่อเรื่องนี้ ขืนยอมรับชีวิตหลังความตายมีจริง วิญญาณมีอยู่จริง เกิดอะไรขึ้น ความเลื่อมใสในตัวเรา ก็จะไม่มีใครศรัทธา ถือว่าทำไม่จริง แล้วก็จะมาลบล้างความเชื่อความศรัทธาตัวเราได้ พูดง่าย ๆ รักษาฟอร์มของตัวเองอยู่  กลัวคนมาดูถูก  ทำอะไรแล้วทำไม่จริง กลัวว่าจะกลับใจ แปลกดีเหมือนกัน กลัวการทำความดี
พระกุมารกัสสปะยกตัวอย่างอีก ดูก่อนมหาบพิตร เปรียบเสมือนคน 2 คนเดินทางมาไกล ระหว่างทางเจอเปลือกป่าน คือเปลือกต้นนุ่น จำนวนมาก  คน 2 คนนี้ ก็เลยเก็บเปลือกป่านมัดรวมกัน เปลือกป่านมีค่าน้อย ต้องเก็บเป็นจำนวนมาก มัดรวมกันแล้วแบกใส่หลังเดินทางต่อไป จนกระทั่งเดินทางมาได้สักระยะหนึ่ง เจอคนเดินสวนมา แล้วก็ยกด้ายป่าน ที่มีมูลค่ามากกว่าให้กับ 2 คนนี้ 
คนที่ 1 รับมาแล้วก็ทิ้งเปลือกป่านออกไป แบกด้ายป่านแทน คนที่ 2 เปลือกป่านที่เราขนมาตั้งไกล หนักก็หนัก มัดอย่างดีแล้ว ไม่อยากทิ้ง ก็แค่ด้ายป่านอันหนึ่ง ไม่เอาหรอก เลยแบกเปลือกป่านต่อไปเรื่อย ๆ เดินทางไปด้วยกันเรื่อย ๆ พบสิ่งของมีค่า มูลค่ามากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ กระทั่งพบทองแดง พบดีบุก พบเงิน กระทั่งพบทองคำ
ชายคนที่ 1 สละของเก่าทิ้งออกหมดเลย แล้วรับของดี ๆ อันใหม่มาเรื่อย ๆ ชายคนที่ 2 ยังแบกเปลือกป่านไปเรื่อย ๆ เพราะคิดว่าตัวเองแบกมาไกลแล้ว ถ้าทิ้งตรงนี้เดี๋ยวจะเสียแรงเปล่า สุดท้าย 2 ท่าน เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทาง คนที่ 1 กลายเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวย เพราะยอมทิ้งของที่มูลค่าน้อยลงไป ชายคนที่ 2 กลับไปถึงจุดหมายปลายทาง ยังคงแบกเปลือกป่านที่มูลค่าน้อย ก็จนต่อไปเรื่อย ๆ
มหาบพิตรก็เหมือนกับชายคนที่ 2 ที่ไม่ยอมทิ้งความเชื่อเก่า ๆ ยังคงเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ ปลายทางของท่าน ก็จะประสบแต่ความทุกข์ยากต่อไป ถึงขั้นนี้แล้ว พระเจ้าปายาสิรับรู้ด้วยปัญญา จริง ๆ เราควรที่จะปรับทัศนคติ เปลี่ยนวิสัยทัศน์ของตัวเองใหม่ เปลี่ยนความเชื่อของตัวเองใหม่ ด้วยเหตุและผล ด้วยการยกตัวอย่างของพระกุมารกัสสปะ  
 หลังจากนั้นพระองค์ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ หันมายึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นที่ระลึก แล้วก็หันมานับถือพระพุทธศาสนา นอกจากจะเปลี่ยนทิฏฐิตัวเองแล้ว ยังเปลี่ยนทิฏฐิข้าราชบริพาร แล้วก็พลเมืองที่ตัวเองดูแลต่อไปด้วย นี่คือการชี้ให้เห็น การยกตัวอย่าง ให้กับคนที่มีมิจฉาทิฐิ
คนบางคนถ้ามีปัญญามาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบได้กับบัวที่โผล่พ้นน้ำแล้ว พอแดดออกยามเช้าปุ๊บก็เบ่งบาน
คนบางประเภทเหมือนบัวปริ่มน้ำ ต้องยกตัวอย่างอธิบายประกอบ วันรุ่งขึ้นก็จะเหมือนบัวที่บานต่อไปได้ ในอนาคต
บางคนเหมือนบัวเหล่าที่ 3 คือบัวที่อยู่ระหว่างน้ำ เสี่ยงต่อการที่จะถูกสัตว์กัดกิน แต่ก็ยังมีโอกาสอยู่ ที่จะโผล่พ้นน้ำในวันต่อ ๆ ไป คนประเภทนี้ก็ยกตัวอย่าง ชี้ให้เห็นประโยชน์ ชี้ให้เห็นโทษขนาบแล้วขนาบอีก ก็จะมีโอกาสบานในวันต่อ ๆ ไปได้
คนประเภทที่ 4 ก็คือ เปรียบเสมือนบัวเหล่าที่ 4 คือบัวที่อยู่ใต้ตม โอกาสที่จะเป็นอาหารของกุ้ง หอย ปู ปลา เต่า มีโอกาสสูง จะโผล่พ้นน้ำได้ต้องอาศัยเวลานาน ขนาบแล้วขนาบอีก บางทีก็ไม่ยอมโผล่พ้นน้ำ ตกเป็นอาหารเต่าไปเป็นต้น         
นี่ก็คือคน 4 ประเภทเปรียบเทียบกับบัวทั้ง 4 เหล่า เราเองจะไปทำหน้าที่กัลยาณมิตร ยังไม่ต้องไปประเมินใครว่าเขาเป็นบัวเหล่าเท่าไหร่ ไม่ต้องไปบอกเขาด้วยเธอบัวเหล่าที่ 4 หรือบัวที่เต่ากินไปแล้วคายออกมา อะไรก็ตามแต่ เราทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้เต็มที่อธิบายแล้ว
ยกตัวอย่างแล้ว ใช้ศิลปะมาก ๆ แล้ว เขายังไม่เข้าใจ เราก็ต้องอุเบกขาบารมี ประคองใจของเราให้ใส กายสบาย ใจสบาย ทำอะไรก็สำเร็จ ใจอยู่ฐานที่ 7 ก็สำเร็จได้อย่างสบาย ๆ อย่าท้อแท้ในการทำหน้าที่กัลยาณมิตร อย่าเบื่อในการอธิบายความเป็นจริงของชีวิตและกฎแห่งกรรมให้กับคนอื่นได้ฟัง เพราะสุดท้ายแล้วคนนั้นได้ประโยชน์
เราจะเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นลูกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทำหน้าที่ทำความดีเพื่อความดีจริง ๆ ไม่ได้ทำความดีเพื่อให้คนอื่นเห็นว่า ตัวเองทำดี ทำความดีเพราะอยากจะให้คนอื่นพ้นจากการไปสู่อบายภูมิเป็นต้น เพราะฉะนั้นขอฝากเรื่องราวเกี่ยวกับการทำหน้าที่กัลยาณมิตรของพระกุมารกัสสปะ ผู้ที่เกิดในท้องของภิกษุณี
ชีวิตการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยาก ใครก็ตามเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้ศึกษาธรรมะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาศัยช่วงหนึ่งของการศึกษา ที่พระอาจารย์บอกว่า คนเราเรียนเกือบ 20 ปี กว่าจะรับประกาศนียบัตรได้ กว่าจะเป็นบัณฑิตทางโลกได้ หมดเวลาเกือบ 20 ปี ถ้าคนนั้นแบ่งเวลาในการเรียนของตัวเองช่วงปิดเทอม มาหาประโยชน์ใส่ตัวด้วยการบรรพชาอุปสมบทเป็นธรรมทายาท ถือว่าบุคคลนั้นมีดวงปัญญา ที่จะหาความสุขให้กับชีวิตของตัวเอง


#ฝันในฝัน   #โรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน   #โรงเรียนฝันในฝัน  #กฏแห่งกรรม #ธรรมะ #แสดงธรรม #นักเรียนอนุบาล  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น