วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2562


โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2561
 
พระครูสังฆรักษ์อนุรักษ์ โสตฺถิโก
แสดงธรรมเรื่อง วัสสะ เข้าพรรษา ช่วงเวลาสร้างบารมี
ห้อง SPD 4 สภาธรรมกายสากลฯ
.................................................................
                  ขอนอบน้อมในธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ เจริญพรนักเรียนโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทุกท่าน

                  น่าจะเป็นพระอาจารย์รูปแรกตั้งแต่เข้าพรรษามา จำเป็นต้องพูดเรื่องเข้าพรรษากันนิดหนึ่ง เผื่อว่าคนที่เพิ่งเข้ามาดูช่อง GBN และนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาจะได้ทบทวนกันอีกครั้งว่าเข้าพรรษาคืออะไร วันนี้มีโอกาสมารับหน้าที่เป็นผู้ช่วยคุณครูไม่ใหญ่ ก็จะมาพูดถึงเรื่องการเข้าพรรษาให้ฟังกัน

                   ต้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าอยู่เวฬุวันมหาวิหาร มีชาวบ้านปรารภเหตุว่าพระไม่ยอมหยุดเดินทาง จึงไปร้องเรียนกับพระพุทธเจ้าว่า ช่วงฤดูฝนมีสัตว์เล็กสัตว์น้อย เดินอยู่ตามพื้นดิน เกรงว่าเมื่อพระเดินทางในฤดูฝนจะเดินไปเหยียบสัตว์เหล่านี้เข้า ควรจะให้พระหยุดเดินทางในช่วงนี้บ้าง แม้แต่พวกอเจลกยังหยุดเลย นกกายังอยู่เฝ้ารัง ทำไมพระภิกษุไม่หยุดบ้างอะไรทำนองนี้ ซึ่งพระเองอาจจะนึกว่าจากเรือนเหมือนนกที่จากคอน ชีวิตอิสรเสรี ก็พากันเดินทางเรื่อยไป

                    พระพุทธองค์ก็เลยบัญญัติให้มีการเข้าพรรษาในฤดูฝนเป็นเวลา 3 เดือน พรรษาแปลว่าฤดูฝน มาจากภาษาบาลีว่า วัสสะ แปลว่าฝน เม็ดฝน แล้วมาเป็นพรรษาในภาษาบ้านเรา ว.แหวน กับ ฟ.ฟัน อย่างคำว่าวิเศษกับพิเศษก็ตัวเดียวกัน หรือพระพันวัสสากับพระพันปี ก็คือพันฝนนั่นเอง นี่คือที่มาของวันเข้าพรรษา

                   เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เราก็มารับบุญใหญ่กัน ก็ขออนุโมทนาบุญกับประธานใหญ่ในวันนั้นด้วยนะ พี่เสาวนีย์วันนี้ก็มานั่งอยู่ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา จริงก็เป็นนักเรียนประจำโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาท่านหนึ่ง บางวันพิธีกรยังไม่มา พี่เสาวนีย์ก็จะรับบุญเป็นพิธีกรแทน ถือว่าเป็นผู้ที่มาโรงเรียนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เป็นนักเรียนฝันในฝันวิทยาที่น่าจะได้ฟังพระอาจารย์ครบทุกรูปที่มาเทศน์สอนในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ตรงนี้น่าชื่นชม ถือว่าเป็นการสั่งสมปัญญาบารมี เรียนรู้ เสาะแสวงหาครูดีตามเส้นทางแห่งการสร้างบารมี เท่านี้ยังไม่พอ ท่านยังเป็นทายิกาผู้วิเศษ ทำบุญเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ที่จะมาเห็นคุณค่าของบุญนั้น หาได้ยากในยุคนี้ และพี่เสาวนีย์ก็เป็นท่านหนึ่งที่ตั้งใจรับบุญกันเป็นประจำ

                      การที่เรามาเรียนรู้ธรรมะในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยานั้น เพื่อให้รู้ว่าหลักการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอบรมไว้นั้นเป็นอย่างไร ปกติเมื่อหลวงพี่มารับหน้าที่เป็นผู้ช่วยคุณครูไม่ใหญ่จะขึ้นต้นด้วยการบอกว่า ธรรมที่แสดงแล้วและวินัยที่บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย หลังจากที่เราล่วงลับไปก็จะเป็นศาสดาของเธอ นี่คือคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่พระองค์จะปรินิพพาน ซึ่งพระองค์ทรงฝากฝังไว้ว่าธรรมและวินัยที่พระองค์บัญญัติไว้ดีแล้วจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ ถ้ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ให้เราศึกษาธรรมะที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้จะทำให้เราเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ตัดสินใจได้ถูกต้อง และปฏิบัติในเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง

                      ดังนั้นธรรมวินัยเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะคนส่วนใหญ่อาศัยความคุ้น ไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ถ้าเราชอบพระอาจารย์วัดไหน เคารพศรัทธาวัดใดก็ไปที่วัดนั้น เข้าไปถามพระเถระที่อยู่ในอารามนั้นๆ สอบถามปัญหาธรรมะ เราจะได้เรียนรู้พระธรรมวินัย เพราะบางทีวัดนี้เก่งเรื่องนี้ วัดนั้นเก่งเรื่องโน้น แล้วแต่ว่าสร้างวัดมาเพื่อการใด ทุกวัดดีถ้าเราเข้าใจและเข้าไปสอบถามเรื่องราวที่เป็นจุดเด่นของวัดนั้นๆ

                     อย่างเช่นวัดพระธรรมกาย สร้างโดยปรารภเหตุจากคุณยายอาจารย์ มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ท่านรับคำสั่งมาจากพระมงคลเทพมุนี หลวงปู่วัดปากน้ำ ว่าจะเอาวิชชาธรรมกายไปทั่วโลก ซึ่งหลักการในการสร้างวัดคือ สร้างเพื่อการเผยแผ่วิชชาธรรมกาย คือเผยแผ่การนั่งสมาธิตามแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ เผยแผ่ไปให้ทั่วโลก นี่คือ Concept การสร้างวัดพระธรรมกาย ซึ่งบางวัดก็มีหลักการในการสร้างแตกต่างกันไป ก็จะมีจุดเด่นของแต่ละวัด ถ้าเราอยากเรียนรู้อะไรก็ไปศึกษาที่วัดนั้นๆ

                        คุณครูไม่ใหญ่ท่านเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ท่านเสาะแสวงหาครูเมื่อเจอคุณยายแล้วได้ศึกษาธรรมะมาในระดับหนึ่ง หลังจากที่ท่านบวชแล้วได้ตระเวนหาครูบาอาจารย์ทั่วประเทศ เพื่อที่จะได้รู้ว่าวัดไหนมีอะไรดีๆ แล้วท่านก็ไปเรียนรู้ เอามาปรับใช้กันที่นี่ แม้จะมีความรู้ทางโลกมาบ้าง จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในยุคโน้นถือว่าจบสูงมาก แต่ความรู้เหล่านั้นก็ยังไม่พอ เพราะเรียนทางโลกก็อย่างหนึ่ง การสร้างวัดก็อีกแบบหนึ่ง คนที่มาอยู่ที่วัดไม่มีใครจบปริญญาตรีสาขาสร้างวัด ดังนั้นต้องมาเรียนรู้กันว่าเราจะทำอย่างถึงจะได้วัดเพื่อการเผยแผ่สมาธิที่ถูกต้อง ก็ต้องไปเสาะแสวงหาความรู้จากครูบาอาจารย์ที่สอนสมาธิ

                      แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ที่ท่านต้องทำแบบนั้นเพราะท่านเคารพในครูบาอาจารย์ ก็คือคุณยายที่รับคำสั่งมาจากหลวงปู่ ซึ่งคุณยายเองท่านเคารพหลวงปู่ วัดนี้นอกจากสร้างเพื่อการเผยแผ่แล้ว ยังเป็นวัดที่สร้างมาด้วยความเคารพที่มีต่อครูบาอาจารย์ ใครที่มีความเคารพต่อครูบาอาจารย์มากๆ คนนั้นจะมีปัญญา อันนี้ไม่ได้ตู่ ก็เคยพูดไว้แล้ว

                      ขอย้ำอีกครั้งว่า ความเคารพเป็นต้นทางแห่งความศรัทธา เมื่อมีศรัทธาแล้ว ได้ฟังครูบาอาจารย์สอนแล้วก็ตั้งใจทำตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างดี พอเราได้ผลจากการปฏิบัติที่ดี เราก็ระลึกนึกถึงคุณของครูที่สั่งสอนเรา จากนั้นค่อยระลึกนึกถึงว่าเราจะตอบแทนคุณท่านได้อย่างไรบ้าง นี่คือขั้นตอนการได้ปัญญาทางพระพุทธศาสนา

                       ผู้มีปัญญามากที่สุดก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราเรียกว่าสัพพัญญู คือรู้ทุกอย่าง พระองค์ทรงรู้แจ้งโดยอาศัยความสว่างที่เกิดในใจของท่านหลังจากที่ได้ตรัสรู้ธรรม ผู้ที่มีปัญญารองลงมาจากพระพุทธเจ้าก็คือพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็มาในเส้นทางนี้ เส้นทางแห่งความเคารพ เส้นทางแห่งความกตัญญู ดังนั้นใครที่มีความเคารพ มีความกตัญญู ก็จะได้ปัญญา

                     พระสารีบุตรเป็นเอตทัคคะ คือผู้มีคุณวิเศษยิ่งกว่าใครๆ ยิ่งกว่าพระภิกษุรูปใดๆ ในด้านความมีปัญญา เพราะว่าท่านสั่งสมความเคารพ สั่งสมความกตัญญูนั่นเอง ท่านไม่ได้ให้ความเคารพเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น อย่างพระอัสสชิซึ่งเป็นพระรูปแรกที่สอนให้ท่านรู้จักเส้นทางนี้ ท่านก็ให้ความเคารพ โดยก่อนจะจำวัดแต่ละวันพระสารีบุตรจะเข้าญาณดูว่าพระอัสสชิอยู่ที่ไหน แล้วนอนจำวัดโดยหันหัวไปทางทิศนั้น เพื่อแสดงความเคารพต่อครูบาอาจารย์

                     ดังนั้นเราเป็นลูกศิษย์ลูกหาวัดพระธรรมกาย เป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ก็ขอให้ตระหนักถึงสิ่งนี้ไว้ เพราะเป็นประเพณี เป็นวัฒนธรรมของวัดนี้ที่จะต้องมีความเคารพ เป็นพื้นฐานแห่งความมีปัญญา หลวงพี่เข้ามาวัดเมื่อปี 2530 ที่ทึ่งมากในตอนนั้นคือ เข้ามาในเขต 196 ไร่แล้วไม่เห็นเสาไฟฟ้า สายไฟลงใต้ดินหมด ตอนนั้นตั้ง 30 กว่าปีมาแล้ว ถือเป็นตัวอย่างของการทำอะไรด้วยความเคารพจะทำให้มีปัญญา วิสัยทัศน์ของผู้สร้างวัดนี้ท่านมองไกลไปขนาดโน้น ทำให้ทึ่งในหมู่คณะที่มาสร้างวัดเอาไว้ ทำให้ประทับใจตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของวัดแห่งนี้ ก็อยากยกเรื่องราวต่างๆ ที่ได้เห็นมาเล่าให้ญาติโยมฟัง

                       คนมักถามว่าทำอย่างไรถึงสร้างวัดใหญ่ขนาดนี้ ทำอย่างไรมีคนเข้าวัดได้มากอย่างนี้ ก็ตอบเขาไปว่าที่ทำได้แบบนี้เพราะเราทำด้วยความเคารพ โดยมีครูบาอาจารย์ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ท่านมีความเคารพอย่างมาก เพราะแต่ละอย่างที่ท่านทำทำเพื่อตอบแทนคุณครูบาอาจารย์ทั้งสิ้น เช่น หล่อองค์พระ หล่อหลวงปู่ด้วยทองคำหนัก 1 ตัน และหล่อตั้งหลายองค์ นี่คือสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านทำให้ดู เป็นการตอบแทนคุณด้วยความเคารพแบบนี้ 

                    หลายคนอาจมองว่าสิ้นเปลืองมากเกินไปในการเอาทองคำมาหล่อเป็นพระสักองค์หนึ่ง หล่อเป็นแม่ชีเช่นนี้ ต้องขอบอกว่าไม่สิ้นเปลือง เพราะแต่ละคนที่ได้คุณค่าจากพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันผ่านมาจากการย่อยสอนของคุณครูไม่ใหญ่ การย่อยสอนของคุณยายอาจารย์ การย่อยสอนของหลวงพ่อทัตตชีโว ซึ่งคุณค่าธรรมะที่เราได้จากที่ท่านสอนและนำไปเป็นหลักในการใช้ในชีวิตนั้น มีค่ามากกว่าทองคำมากมายนัก ซึ่งทรัพย์สมบัติที่มีส่วนหนึ่งเราก็เอาไว้ใช้เลี้ยงชีวิต 

                    แต่ส่วนหนึ่งก็มีไว้ให้เราเอาไปเพิ่มบุญ ต่อบุญให้กับเราได้ และยิ่งเป็นการตอบแทนคุณครูบาอาจารย์โดยแสดงให้โลกรู้ว่าเรามีความเคารพครูบาอาจารย์มากเพียงใด จนทำให้คนทึ่ง ทำให้คนสงสัยว่าครูบาอาจารย์ของเรามีดีอย่างไรลูกศิษย์ถึงให้ความเคารพ ให้ความศรัทธาขนาดนี้ จะทำให้เขาสนใจแล้วเข้ามาศึกษาปฏิปทาของท่าน ศึกษาคำสอน และเกิดแรงบันดาลใจที่จะประพฤติปฏิบัติตาม

                    ขอฝากกับนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา รวมไปถึงลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทุกท่านไว้ด้วยว่า ถ้าใครมาสอบถามว่าทำไมถึงสร้างวัดได้ขนาดนี้ ก็ต้องบอกว่าเราสร้างวัดด้วยใจอันมีพื้นฐานมาจากความเคารพ และทำกันเต็มที่เท่าที่ทำได้ ไม่ใช่เราอวดรวย อวดความยิ่งใหญ่ แต่เราทำเต็มที่เท่าที่เราทำได้ และวัตถุประสงค์ในการสร้างวัดอีกประการหนึ่งคือ เพื่อให้เราได้เข้ามาสร้างบารมีด้วยกันเป็นกลุ่ม นี่คือสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านได้สอน ได้แนะนำเอาไว้

                    เข้าพรรษาแบบที่ 2 เรียกว่าพรรษาหลัง จะเริ่มหลังจากแรม 1 ค่ำ เดือน 9 ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 วันลอยกระทง จำง่ายๆ ถึงวันลอยกระทง เรียกว่าปัจฉิมพรรษา
โดยสรุป เข้าพรรษาเป็นเวลาแห่งการเพิ่มพูนความรู้ ฝึกฝนอบรมตัวเองเพื่อที่จะได้เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง ในส่วนของพระ เมื่อเป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้แล้วก็ค่อยๆ พัฒนาไปเป็นที่พึ่งของคนอื่นในภายหลัง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำคัญตรงนี้แหละ คือทุกเรื่องเอาไว้เพื่อพัฒนาตัวเราเอง ดังนั้นต้องเริ่มจากตัวเราก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาไปเป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นในภายหลัง

                  เข้าพรรษาเป็นการตีกรอบของตัวเองภายนอกโดยอาศัยพื้นที่ และล้อมกรอบตัวเองภายในด้วยการรักษาใจของตนไม่ให้วิ่งวุ่น ในช่วงเข้าพรรษานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะเพราะอากาศไม่ร้อน ไม่หนาวจนเกินไป เราก็มาหยุดใจนิ่งของเรา ต่างคนต่างทำกันไป ข้างนอกเคลื่อนไหว ส่วนท่านที่เป็นญาติโยม ครูไม่ใหญ่บอกว่าเรายังต้องทำมาหากินอยู่ ให้หมั่นดึงใจกลับมาไว้กับตัว ทำใจหยุดใจนิ่งจนคุ้น ถือว่าเป็นการจำพรรษาไปพร้อมๆ กับพระ ทำความบริสุทธิ์ของตนเองให้เกิดขึ้น ญาติโยมที่ชมอยู่ทางบ้าน ก็ขอชวนมาเข้าพรรษาไปพร้อมๆ กัน เก็บใจเอาไว้ภายในตัว ทำใจหยุด ใจนิ่ง ให้ใจสงบ ใจจะได้มีความสุข

                  อยากให้เอาใจมาไว้กับตัวมากๆ เพราะช่วงนี้มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา เกิดในส่วนอื่นๆของโลก มีสารพัดเรื่องที่วุ่นวายไปหมดจนไม่อยากให้เอาใจไปจับ เช่นเรื่องหมูป่าติดถ้ำ โชคดีที่หมูป่าออกจากถ้ำได้แล้ว มีเหตุการณ์น้ำท่วมแถวยุโรป มีไฟไหม้ มีพายุเข้า มีสารพัดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกขณะนี้

                หลวงพ่อทัตตะบอกว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เราเห็นนั้น มันไม่ปกติ มันวุ่นวายกันทั่วโลกนั้น จริงๆ เกิดมาจากใจมนุษย์นั่นแหละ คนนั่นเองที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เห็นด้วยในเรื่องนี้ เขาบอกว่า โลกร้อนเพราะคนทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ ใช้ของทำให้เกิดโลกร้อน เขารณรงค์ให้เลิกใช้ถุงพลาสติก อย่างไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า ให้เอาถุงไปใส่ของเอง หลวงพ่อทัตตะท่านก็บอกว่า เราก็เอาตะกร้าไปใส่ของแบบโบราณสิ เมื่อก่อนหิ้วตะกร้าไปจ่ายตลาด ท่านบอกเดี๋ยวนี้ก็ทำแบบนั้นสิ  เอาตะกร้าไปอวดกันก็ได้ ท่านว่าแบบขำๆ
คือเราพยายามจะย้อนไปหายุคที่คนอารมณ์ดี ยุคที่คนรักษาสิ่งแวดล้อม ยุคที่คนอยู่กับธรรมชาติจะมีอารมณ์ดี ใจไม่ค่อยไปไหน ใจอยู่รอบๆ ตัว มีความผูกพันระหว่างญาติ มีกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันเยอะแยะมากมาย

                   แต่ยุคนี้โลกเปลี่ยนไป หลายอย่างมันเปลี่ยนจนคนส่วนใหญ่ตามไม่ค่อยทัน ทำให้จิตใจคนในยุคนี้ว้าวุ่น ค่อยข้างสับสน เกิดเป็นผู้ชายก็อยากเป็นผู้หญิง เกิดเป็นผู้หญิงก็อยากเป็นผู้ชาย มีความสับสนในหลายๆ อย่าง บางคนหงุดหงิดจากสภาวะบีบคั้นที่เกิดขึ้นรอบตัว ก็แสดงอารมณ์โกรธออกมาก็มี บางคนมีโมหะครอบงำ หรือความหลง ความโง่ ก็กิเลส 3 ตัวนี้แหละครอบงำ ทำให้มีอาการตอบสนองต่อเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกแตกต่างกันไปตามธาตุของแต่ละคน แล้วแต่ว่ากิเลสตัวไหนมีมาก

                  เพราะฉะนั้นเข้าพรรษานี้ เรามาเรียนรู้กันว่าเรามีกิเลสตัวไหนเยอะ แล้วค่อยๆ ปรับตัว ค่อยๆ พัฒนาตัวเองมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ชักชวนคนรอบตัวให้พัฒนาตัวเองไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะการทำดีคนเดียวจะอยู่ทำไม่ได้ ต้องทำเป็นเครือข่าย ทำกันเป็นกลุ่ม ต้องชักชวนกัน วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เทคโนโลยีต่างๆ มีไว้ให้ใช้ เราก็เอามาใช้ทำความดี อย่างเช่นอินเตอร์เน็ต มือถือ แท็ปเลต หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราใช้กันอยู่ในตอนนี้ก็สามารถเอามาปรับใช้ในการทำความดี ก็ฝากนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา

 ถ้ามีลูกมีหลานก็ฝากเขาหน่อย
มีการแบ่ง Generation แบ่งตามช่วงอายุ อย่างเด็กรุ่นใหม่ หรือที่เขาเรียกว่า Gen-Z คืออายุต่ำกว่า 20 ลงมา ถ้าอายุตั้งแต่ 37-50 เขาเรียก Gen-X เด็กรุ่น Gen-Z ใช้อินเตอร์เน็ตไม่มากเท่าไหร่ เด็กไทยวันหนึ่งเฉลี่ยประมาณ 10 ชั่วโมง ส่วน Gen-Y อายุระหว่าง 20-37 ใช้อินเตอร์เน็ตวันละประมาณ 9 ชั่วโมง และGen-X ใช้อินเตอร์เน็ตวันละประมาณ 8 ชั่วโมง เด็กรุ่นหลังมาใช้ชีวิตอยู่กับอินเตอร์เน็ตเยอะมาก ซึ่งตอนนี้หลายๆ อย่างผูกพันอยู่กับอินเตอร์เน็ตมาก พอมีเรื่องราวอะไรก็ส่งกันวุ่นไปหมด

จริงๆ แล้วอินเตอร์เน็ตพวกนี้เป็นของกลางๆ เราสามารถเอามาใช้ในการความดีได้เหมือนกัน ก็มีส่วนได้ไปช่วยจัดทำ Internet สีขาว ในโครงการ Wake up media คือใช้สื่อเพื่อความตื่นรู้ทำนองนี้ โดยเอาเด็กมาแข่งกันโพสต์เรื่องราวดีๆ ลงอินเตอร์เน็ต และมีการมอบรางวัลให้ การที่เราจะทำแบบนี้ได้ต้องมีหลักก่อน อย่างที่บอกในเบื้องต้น ธรรมวินัยนี่แหละที่เป็นศาสดาแทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราจะไปบอกหรือสอนใครเราก็ต้องมีหลัก ช่วงนี้เป็นช่วงเข้าพรรษา เป็นช่วงที่เราเรียนรู้ ถ้าเป็นญาติโยมให้ลองเอาพระไตรปิฎกฉบับประชาชนมาอ่านดู เราจะได้คุ้นกับภาษาพระ เมื่อเรียนรู้จนคุ้นแล้วก็จะปฏิบัติได้ถูกต้อง พูดคุยกับพระอย่างสบายๆ ไม่เกร็ง

บางทีเรารับรู้เรื่องราววุ่นวายทางหน้าสื่อต่างๆ ทำให้เรามองโลกเลวร้ายกว่าความเป็นจริง นั่นเพราะเราหลงไปกับการชี้นำของสื่อและมีคนไม่กี่คนที่ออกมาแสดงความเห็นในทางที่ไม่ดี เมื่อเราเจอเหตุการณ์ที่ไม่ดีเหล่านี้แล้ว ทำให้ทำตามใจ ทำอย่างที่เราต้องการ ไม่ชอบพระรูปนี้ก็ด่าเลยอะไรทำนองนี้ อย่างนี้ทำไม่ถูกต้อง ยังมีขั้นตอน มีวิธีการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้กรอบปฏิบัติเอาไว้ในพระไตรปิฎก ช่วงนี้เข้าพรรษา หากใครยังไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกก็ลองเอาพระไตรปิฎกฉบับประชาชนมาอ่านดู เราจะได้คุ้นกับภาษาพระและจะได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม สิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาต วิธีจัดการ ทรงให้หลักในการตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ อย่างไร

อันที่จริงก็มีเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นอีกมากมาย อย่างเช่นวันหนึ่งหลวงพี่ไปปฏิบัติศาสนกิจที่จังหวัดตาก ไปถึงเวลาเพลพอดี โยมที่มารับได้พาไปฉันเพลที่ร้านอาหารดังแห่งหนึ่ง ไปเจอคนอยู่ในบุญ คนรักบุญมาก เขาแย่งกันเลี้ยงพระ ปกติเจ้าของร้านอาหารถ้าพระเข้ามาฉันที่ร้านเขาก็จะถวายภัตตาหาร ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เขาขอเลี้ยงภัตตาหารพระทุกรูป แล้วก็มีลูกค้าท่านหนึ่งมาทานอาหารในร้านนี้เหมือนกัน พอเขาเห็นพระมาฉันที่นี่ก็ขอเป็นเจ้าภาพถวายค่าภัตตาหาร เจ้าของร้านก็บอกว่าไม่ต้องจ่ายเงิน เขาถวายภัตตาหารแล้ว ลูกค้ากับเจ้าของร้านอาหารก็ถกเถียงกันไปมา แย่งกันเป็นเจ้าภาพภัตตาหาร สุดท้ายลูกค้าท่านนั้นก็เอาเงินให้เจ้าของร้านอาหาร บอกว่าขอร่วมบุญด้วย จะเอาเงินนี้ไปทำบุญอะไรก็ได้แล้วแต่เจ้าของร้านอาหาร เจ้าของร้านอาหารจึงยอมให้ร่วมบุญค่าภัตตาหารของหลวงพี่และพระที่ไปด้วยกัน

ดังนั้นโดยภาพรวมแล้ว พระพุทธศาสนาในเมืองไทยยังอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี เพียงแค่เราชาวพุทธต้องเพิ่มพูนความรู้ในพระพุทธศาสนาอีกนิด เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจะรู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไร เพราะความรู้ในพระพุทธศาสนาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้กรอบเอาไว้ สิ่งที่พระองค์ทรงห้าม มีขั้นตอน มีวิธีการ วิธีจัดการ และตัดสินใจในเรื่องต่างๆ อย่างไร แต่ถ้าไม่มีเวลา ก็ขอสัก 1 ชั่วโมง ในช่วงเวลา 19.00-20.30 ประมาณนี้ เปิด GBN มาดูรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยากัน ซึ่งจะมีพระอาจารย์เป็นผู้ช่วยครูไม่ใหญ่มาให้ความรู้ เอาธรรมะในพระไตรปิฎกมาเล่าให้ฟังในแบบที่ง่ายๆ ให้เรียนรู้กัน การเข้าพรรษาในปีนี้ของเราก็จะได้ความบริสุทธิ์ บริบูรณ์ ได้ความรู้อีกมากมาย หรือถ้าใครมีเวลามากกว่านั้นก็ไปวัดกัน ใกล้วัดไหนไปวัดนั้น 

ถ้าอยู่ใกล้วัดพระธรรมกายก็ขอเชิญมาที่วัดพระธรรมกาย เรามาสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรกันตลอด 24 ชั่วโมงเลย ว่างตอนไหนมาตอนนั้น ออกกะมาตี 3 ก็มาได้เลย ที่นี่เปิดรับตลอด 24 ชั่วโมง เรามาเอาบุญด้วยกัน เราต้องทำบุญบ่อยๆ เมื่ออยากทำบุญต้องรีบทำ ถ้าเราไม่ทำบุญใจจะคุ้นกับบาปแทน ซึ่งที่วัดพระธรรมกายตอนนี้ก็มีกิจกรรมบุญคัดหินเกร็ด หล่อเทียนพรรษา การสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นพระสูตรแรกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นปฐมเทศนาที่ทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ทั้งห้าทำให้เกิดพระสงฆ์รูปแรก เป็นพระสูตรสำคัญที่รวบรวมคำสอนพระพุทธเจ้าไว้ทั้งหมด ในเมืองไทยส่วนใหญ่จะนำมาสวดเฉพาะโอกาสพิเศษ แต่ที่วัดพระธรรมกายทุกวันเป็นวันพิเศษ ทุกวันเป็นวันสร้างบุญของเรา ดังนั้นว่างเมื่อใดเราก็มาสวดกัน เจอของดีแล้วเราต้องทำให้คุ้น อย่างน้อยก็คุ้นกับศัพท์บาลีในบทสวดธรรมจักร จากนั้นหาคำแปลเราจะได้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า รู้ว่าท่านสอนเรื่องอะไร เราจะได้ปรับกาย ปรับใจให้มีความสุข

เพราะแท้จริงแล้วทุกคนต้องการความสุข ต้องการความสงบ เราจะไปถึงจุดที่สุขอย่างที่สุดคือพระนิพพานนั้นมันมีเส้นทางอยู่ โดยอาศัยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งอยู่ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั่นเอง ดังนั้นก็ขอเชิญชวนมาสวดกันหน้าพระมหาธรรมกายเจดีย์ หรือหากอยู่ไกลก็สวดกันที่บ้านก็ได้ทุกเวลา เพียงขอให้ใจอยู่ในบุญ อยู่ในตัว ในพรรษานี้เราจะมีความปลื้มในบุญทุกนาทีที่เราได้สั่งสมบุญ

                      สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน ทั้งกินทั้งทาไม่ฉีดยาก็หาย โดยส่วนใหญ่คนในสังคมมีความทุกข์อยู่ในระดับหนึ่ง เป็นโรคใจกัน การสวดมนต์จะทำให้ทุกข์นั้นค่อยๆ ลดลงได้ เพราะเมื่อใดที่เกิดความทุกข์จะทำให้ใจขุ่นใจหมอง ถ้าได้สวดมนต์ความขุ่นในใจจะค่อยๆ ตกตะกอนไป ใจจะค่อยๆ ใสขึ้นมา เป็นการทำสมาธิในเบื้องต้น พร้อมกับได้เรียนรู้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วย ก็ขอเชิญชวนนะช่วงเข้าพรรษานี้สวดมนต์กันให้ได้ทุกวัน เวลาสวดกันหลายๆ คนจะมีพลัง เต็มเสียง มีความนิ่งสงบ และมีความสุข
การเข้าพรรษาในช่วงนี้ 

                     ถ้าใครมาวัดในวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา คงได้ฟังโอวาทคุณครูไม่เล็ก ท่านบอกว่าพรรษานี้ท่านจะเทศน์เรื่องความเคารพ อย่างที่บอกไว้วัดนี้สร้างมาด้วยความเคารพ เพื่อเอาวิชชาธรรมกายไปให้ได้ทั่วโลก การที่เรารักษาความเคารพ รักษาสัญญาไว้ที่มีต่อครูบาอาจารย์นั้นจะทำให้มีปัญญาเพิ่มพูนมากขึ้น และเป็นตัววัดสัจจะของเราอย่างหนึ่งว่าเรารับปากครูบาอาจารย์แล้วทำได้หรือไม่ คุณยายเองท่านทำสำเร็จที่เอาวิชชาธรรมกายไปได้ทั่วโลก เพียงแต่ปักหลักแน่นหนายังไม่ได้ทั่วโลก ต้องถือว่าที่ท่านทำไว้และที่ลูกศิษย์ตั้งใจช่วยกันทำ ทำได้ดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

                   ตอนนี้ทุกภูมิภาคทั่วโลกรู้จักการฝึกสมาธิตามแนววิชชาธรรมกายกันแล้ว เพียงแต่อยู่ในช่วงที่ต้องต่อยอดขยายไปสู่ผู้คนอีกนิดหนึ่ง ถึงจะเรียกว่าเราเผยแพร่วิชชาธรรมกายไปได้ทั่วโลกจริงๆ ดังนั้นเราต้องช่วยกัน ถามว่าสำคัญไหมกับการเอาวิชชาธรรมกายไปให้ได้ทั่วโลก ถือว่าสำคัญเพราะเป็นคำสอนของครูบาอาจารย์ และเราจะได้ฝึกทำหน้าที่เป็นนักเผยแผ่ เรามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการฝึกสมาธิระดับไหน ดังนั้นช่วงเข้าพรรษาเป็นช่วงที่เราต้องมาทำความเข้าใจตัวเอง ถ้าเราเข้าใจการทำสมาธิ และทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

                  เราสามารถเอาประสบการณ์ทางสมาธิของเราไปเล่าให้คนอื่นฟัง ทำสมาธิแล้วมีความสุขอย่างไร สวดมนต์แล้วมีความสุขอย่างไร ซึ่งการสวดมนต์เป็นการทำสมาธิอย่างอ่อนๆ เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่การทำมาหากิน ยังมีเรื่องการพัฒนาจิตใจด้วย เราจะสามารถพัฒนาการใช้ชีวิตให้มีความสุขมากขึ้น เพราะคำสอนของพระพุทธองค์เป็นคำสอนที่วิเศษ นำมาปรับใช้ได้หลายเรื่อง โดยเฉพาะการมีสมาธิเป็นพื้นฐานของชีวิตทำให้เป็นผู้มีใจสงบนิ่ง ใจมีความสว่างไสว คนที่ฝึกสมาธิเป็นประจำใจจะมีความสงบนิ่งระดับหนึ่ง เมื่อประสบเรื่องราวต่างๆ รุมเร้าใจจะไม่หวั่นไหว สามารถสงบนิ่งได้ แล้วจัดการปัญหาต่างๆ ลุล่วงไปได้ด้วยดี

                   เดี๋ยวนี้คนมีความทุกข์มาก ส่วนใหญ่พยายามไปทำบุญเพื่อแก้ทุกข์ จริงๆ ก็ตรงหลักที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ธรรมจักร คำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อให้เราพ้นทุกข์ แต่ทุกข์มีหลายระดับ ก็ค่อยเรียนรู้กันไป มีผลวิจัยของ AU poll เขาสำรวจว่าคนทำบุญกันเพื่ออะไร และวิจัยออกมาได้ว่า
คนที่ไปทำบุญ 79% ทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้หมู่ญาติที่เสียชีวิต นี่ก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าญาติตายแล้วไปที่ไหน อันที่จริงก็พูดบ่อยๆ นะ ญาติตายแล้วก็จะไปที่ชอบๆ นั่นแหละ ก็คือถ้าทั้งชีวิตทำบุญอยู่เป็นประจำ ก็จะไปเกิดในที่ที่ดี แต่ถ้าทำบุญบ้าง ไม่ทำบ้าง อันนี้ก็ลุ้นกันนิดหนึ่ง แต่ถ้าทำในทางตรงกันข้ามก็จะไปอีกที่หนึ่ง
คน 70% หวังว่าทำบุญแล้ว บุญจะไปถึงแก่หมู่ญาติ นี้ก็เป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง
รองลงมาที่ 72.8 % ทำบุญเพื่อความสบายใจ ในบ้านเราส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้
49.9 % นี่ก็ครึ่งหนึ่งทำบุญเพื่อหวังจะพ้นทุกข์
21.3%  ทำบุญเพื่อจะได้มีความสุขในชาตินี้
และ 19.5% เพื่อความสุขในชาติต่อไป

                       นี่คือมุมมองของคนยุคนี้ที่มีการทำวิจัยไว้โดย AU Poll วิจัยว่าคนในเมืองไทยทำบุญเพราะอะไร เราในฐานะเป็นนักสร้างบารมี เข้าวัดพระธรรมกายเราจะได้ยินคำว่าสร้างบารมีกันบ่อยๆ ขออธิบายเพิ่มเติม เผื่อใครมาใหม่เปิดมาเจอช่อง GBN จะได้เข้าใจ หากอยากรู้ว่าทำไมต้องสร้างบารมี บารมีก็คือบุญอย่างหนึ่งแต่เป็นบุญพิเศษที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันทำ ทำแล้วสามารถฆ่ากิเลสได้เลย บุญที่เรียกว่าบารมีนี้แรง มีอยู่ 10 ประการคือ

ทานบารมี คือให้ทานอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ศีลบารมี รักษาศีลโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
เนกขัมมบารมี คือออกบวชโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ปัญญาบารมี คือการแสวงหาครูบาอาจารย์ ทุ่มชีวิตหาครูดีให้เจอ
วิริยบารมี ทุ่มทำตามที่ครูท่านสอนให้เต็มที่
ขันติบารมี คือ อดทนทำตามผังที่ตั้งไว้ดีแล้ว
สัจจะบารมี คือมีสัจจะจะฝึกให้ได้แบบนี้ ไม่ยอมเปลี่ยนเป้า ถ้าระยะยาวก็ต้องวางแผน ยิ่งผู้ที่สร้างบารมีโดยหวังจะไปพระนิพพานนั้นไกลมาก ต้องอธิษฐานกำกับ เป้าจะได้ไม่เปลี่ยน
อธิษฐานบารมี คือกำหนดเป้าหมาย ต้องอธิษฐานกำกับ เป้าหมายจะได้ไม่เปลี่ยน
เมตตาบารมี ความมีเมตตาต่อกัน
อุเบกขาบารมี การปล่อยวาง เพราะในระหว่างเส้นทางการสร้างบารมี

                      คนที่เห็นแล้วเข้าใจก็มี ไม่เข้าใจก็มี เช่น โอ้โห ทำบุญเยอะเหลือเกิน เงินเยอะเหรอ? ก็ตอบเขาไปว่าใช่มีเงินเยอะ ถ้ามีไม่เยอะทำบุญแบบนี้ไม่ได้ คุณเองก็สามารถทำได้ ทำบุญเท่าไหร่ก็ได้ที่คุณคิดว่าเต็มที่ของคุณ  ส่วนเราก็ทำบุญของเราต่อไป หากมีใครพูดอย่างนั้นอย่างนี้ก็ค่อยๆ คุยกับเขาอย่างมีเมตตา แต่สำหรับคนบางประเภทเห็นเราทำบุญแล้วมาด่า มาว่ากระแนะกระแหน เราก็ปล่อยๆ เขาไป

                    ช่วงนี้เป็นช่วงเข้าพรรษา เป็นช่วงที่เราจะต้องรักษาใจ คุณครูไม่เล็กท่านเคยบอกไว้เมื่อวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา ท่านบอกว่าพรรษานี้ท่านจะเทศน์เรื่องความเคารพ ความเคารพคือการจับดีผู้อื่น การจับดีผู้อื่นแปลว่า เห็นความดีของคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์นั้นๆ ด้วยใจ ต้องใช้ใจมอง แล้วใจแบบไหนถึงจะมองหรือสัมผัสความเคารพได้ ก็ต้องเป็นใจที่อ่อนละมุน ใจที่ละเอียด ใจที่สว่าง ดังนั้นก็ต้องฝึกสมาธิไประดับหนึ่งนั้นแหละ ยิ่งมีสมาธิแก่กล้ามา ใจนิ่งมาก ปัญญามาก ก็จะยิ่งเห็นความดีผู้อื่นได้มากๆ ยิ่งเห็นความดีของเขายิ่งปลื้ม ปลื้มที่เราได้รู้จักคนดี เราได้คนดีมาเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ก็จะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย ชีวิตก็จะมีแต่เรื่องดีๆ

                    ตรงกันข้าม ถ้าเอาใจไปจับผิดใคร ใจมันจะรู้สึกห่อเหี่ยว ใจร้อน ใจหนักอึ้ง มึนงง มีหลายอย่างที่เป็นเชิงลบเกิดขึ้น เพราะอารมณ์ของบุญและบาปจะต่างกัน อารมณ์เมื่อใจอยู่ในบุญใจจะนุ่มๆ มีความสุข ปลื้มๆ ถ้าอารมณ์ของบาปครอบงำใจจะรู้สึกหนักๆ ใจร้อนแรง ใจเร็ว รู้สึกสะใจ ดังนั้นหากเราจับความรู้สึกในเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น รู้สึกสะใจ ใจเร็วแรง ใจลักษณะนี้ไม่ใช่ทางแห่งบุญแล้ว ต้องเป็นใจที่ปลื้ม ใจนุ่มๆ แน่นอยู่ข้างใน ใครทำบุญเป็นประจำจะทราบดีว่าความปลื้มมากๆ เป็นอย่างไร อธิบายเป็นคำออกมาไม่ถูก ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกไว้ว่าธรรมะที่เกิดขึ้นในใจต้องรู้ด้วยตัวเอง
ดังนั้นช่วงเข้าพรรษานี้ เรามาเรียนรู้กันและทำแบบเต็มที่กันเถอะ ทำเต็มที่แค่ไหน เช่น ไม่เคยสวดมนต์เลย ก็ลองสวดดู ไม่เคยทำทานเลย ก็ลองไปใส่บาตรตอนเช้า ไม่เคยนั่งสมาธิเลย ก็ลองนั่งดูสัก 1 ชั่วโมง เมื่อเรียนรู้และทำอย่างเต็มที่แล้ว ผลจะเป็นอย่างไร จะทรมานหรือจะปลื้มเพียงใดเราต้องลองทำดู สิ่งดีๆ เหล่านี้เราต้องลองทำ สิ่งไม่ดีเราไม่ต้องลอง ให้ทิ้งไป  

                     การไปเจอสิ่งไม่ดีทำให้ใจร้อนแรง ใจหนัก แต่ถ้าจับดีผู้อื่นก็จะเห็นแต่เรื่องดีๆ อย่างที่หลวงพี่ไปแม่สอด เจอเจ้าของร้านอาหารกับลูกค้าแย่งกันทำบุญถวายภัตตาหาร หลวงพี่ก็ปลื้มนะที่มีคนรักบุญกันขนาดนั้น อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเราจะต้องเป็นเนื้อนาบุญให้เขา อะไรที่ทำไม่ค่อยดีก็ต้องปรับ เพื่อให้โยมทั้งสองได้บุญคุ้มกับภัตตาหารที่ถวายมา พระเองก็ต้องคิด
ของเหล่านี้มี 2 ด้าน เหมือนความเคารพมี 2 ทาง เมื่อไหร่ที่เราเคารพคนอื่น เรามองเขาด้วยความปลาบปลื้มหรือชื่นชม นี่สายตามันบอก หรือเห็นคนมองเราด้วยความปลาบปลื้มหรือชื่นชม สายตาก็บ่งบอกว่าปลื้ม อยากรู้ความปลื้มเป็นอย่างไร ก็ลองดูนะ ท่านชายก็บวชสัก 1 พรรษา ท่านหญิงก็ลองมาปฏิบัติธรรมช่วงเข้าพรรษา นุ่งขาวห่มขาวมาวัดกัน มาสวดธรรมจักร มาเดินเวียนประทักษิณรอบพระมหาธรรมกายเจดีย์ ลองทำบุญกันดู ทำไปแล้วจะรู้ด้วยตัวเราเองว่าเป็นอย่างไร

                     ส่วนบารมีที่เป็นบุญระดับพิเศษ ถ้าทำบุญจนคุ้นแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน การทำบุญในระดับบารมีเป็นอย่างไร เพราะการเอาความรู้สึกของเราไปเทียบกับนักสร้างบารมีบางทีมันเทียบกันไม่ได้ อย่างคนข้างนอกเห็นลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทุ่มทำบุญ เขาก็ว่ารวยเหรอ จริงๆ ไม่ได้รวย เรารู้ว่าจนมันเป็นทุกข์ ก็เลยอยากทำบุญเพื่อชาติหน้าจะได้ไม่ทุกข์แบบนี้ เราเข้าใจแบบนี้เพราะพระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ แล้วทำไมต้องทำบ่อยๆ การทำบุญบ่อยๆ ใจก็อยู่ในบุญบ่อยๆ อย่างอื่นแทรกไม่ได้ เพราะใจคิดได้ทีละเรื่อง คิดได้เร็วจริง ใจคิดได้ ปุ๊บๆๆ แต่คิดได้ทีละเรื่อง ถ้าคุ้นกับสิ่งที่ดี เช่น จับดีคนอื่น หรือทำบุญกันบ่อยๆ ใจก็นึกแต่เรื่องดีๆ ใจจะชุ่ม มีความสุข คนอยากพ้นทุกข์ เมื่อเข้ามาในเส้นทางการทำบุญแล้วก็ทุ่มเอาชีวิตเป็นเดิมพันทำบุญ พระพุทธเจ้าท่านก็ทำแบบนั้น

                   เราก็ต้องทำในลักษณะคล้ายๆ กัน แต่ว่าต้องพอดีกับตัวเรา อันนี้ต้องบอกไว้ก่อนว่าต้องพอดีกับตัวเรา เช่น บางคนอยากทำบุญเยอะๆ ก็มีคนมักมากล่าวหาวัดพระธรรมกายว่าสอนให้ทำบุญจนครอบครัวเดือดร้อน จริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เราสอนให้ทำเต็มที่ ทำพอดีกับที่เราทำ เต็มที่ได้แค่ไหน พระพุทธเจ้าท่านมีคำสอนเป็นหลักในเรื่องนี้ว่า ความเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก บางคนไปกู้หนี้ยืมสินมาทำบุญ ตรงนี้ไม่สนับสนุนเลยนะ แม้คุณครูไม่ใหญ่เองก็ไม่สนับสนุน ท่านพูดบ่อยๆ ท่านไม่สนับสนุนให้ไปกู้หนี้มาทำบุญ เราทำเต็มที่เท่าที่เราทำได้ 

                      ถ้าปัจจัยเรามีไม่พอ เราก็ชวนคนอื่น ทำด้วยกันเป็นกองใหญ่ๆ ก็ได้ ให้ชวนกันมาทำบุญ  ต้องชวนกันทำบุญ เราจะได้อยู่ในสังคมที่คนรักในบุญ อยู่ในบุญ จับดีซึ่งกันและกัน ในช่วงเข้าพรรษานี้ ลองเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ก่อน ลองมองความดีของคนข้างบ้าน คนใกล้ตัว ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง คุณครูไม่เล็กท่านบอกว่า คนพอเกิดมาเป็นคนได้ รับรองว่ามีดีอยู่ในตัวแน่นอน ใครก็ตามที่เกิดมาเป็นคน เขาต้องมีดีอยู่ในตัวแน่นอน เพราะไม่อย่างนั้นไม่อาจมาเกิดเป็นคนได้

                    แม้เกิดมาพิการหูหนวกหรือด้อยโอกาสด้านอื่นๆ ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่ง เขาก็มีความเพียรอย่างยิ่งเพื่อจะต่อสู้กับชีวิตเขาได้ เราสามารถมองข้อดีเหล่านี้ได้ถ้ารู้จักมอง แล้วเราจะทึ่ง ปลื้มกับการใช้ชีวิตของคนกลุ่มนี้ เขาใช้ชีวิตของเขาได้ ยิ่งคนที่มาอยู่ในเส้นทางการสร้างบารมี เห็นแล้วยิ่งทึ่ง เขาไม่เอาข้อด้อยโอกาสมาเป็นอุปสรรค

                   ดังนั้นก็ขอฝากไปถึงผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง เราสามารถสร้างบุญอะไรได้อีกเยอะแยะมากมาย เราเอาพรรษานี้เป็นพรรษาแห่งการเข้าถึงธรรม และในขณะเดียวกันแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งความเคารพเริ่มจากการเห็นข้อดีของคนๆ นั้นก่อน ดังนั้นจับดีซึ่งกันและกันก่อนในเบื้องต้น พอจับดีก็จะค่อยๆ เห็นความดีแต่ละคน แล้วเราจะเคารพคนทุกคนเอง

                    พระเองก็เคารพญาติโยม ที่แม้ยังต้องทำมาหากินแต่ก็ยังสละเวลามาเข้าโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา แทนการพักผ่อนสบายๆ อยู่ที่บ้าน ญาติโยมเองก็มองพระว่า เออ อุตส่าห์ตัดใจมาอยู่วัดกัน คือทุกคนมีข้อดีในตัว อยากให้มองเรื่องราวในด้านดีกันแบบนี้ พรรษานี้เรามาเข้าพรรษากัน เรามาจำกัดเขต พระก็จำกัดพื้นที่ อยู่วัดไม่ไปไหน ส่วนญาติโยมก็จำพรรษาอยู่ในกายที่ยาววา หนาคืบ กว้างศอก อะไรไม่น่าดูก็ไม่ดู อะไรไม่น่าฟังก็ไม่ต้องฟัง อะไรไม่น่าลิ้มรส อย่างไขมันทรานส์อะไรพวกนี้นะก็ไม่ต้องลิ้มลอง อะไรที่มันไม่น่าจะไปสัมผัส ไม่น่าเกี่ยวข้องด้วยก็ไม่ต้องไปยุ่ง อะไรที่ไม่ต้องเอาใจไปผูก ไปเกาะเกี่ยว ก็ไม่ต้องเอาใจไปผูก ไปเกาะเกี่ยว แล้วเข้าพรรษานี้จะได้มีความสุข เราควบคุมอายตนะของเรา อายตนะแปลว่าตัวรับ ตัวรับของเราที่รับเข้ามา มีผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อารมณ์ที่มาสัมผัสใจ เราคุมอายตนะนี้ให้ได้ช่วงเข้าพรรษา ก็คือรักษาใจให้ได้ ให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว

                    เมื่อไหร่ใจอยู่กับตัว คือคุมเรื่องราวนี้ได้ หมายถึง เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้ลิ้มรสสักแต่ว่าลิ้มรส เมื่อพ้น 3 เดือนแล้ว ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ถ้าทำแบบนี้ได้รับรองเลยว่าชีวิตจะดีขึ้น มีความสุขขึ้น อย่าเพิ่งเชื่อนะให้ลองทำกันดู

                    ในช่วงเข้าพรรษา หากใครมองตัวเองเป็น หมั่นฝึกเอาใจมาไว้กับตัว พอเริ่มมองตัวเองเป็นการจับผิดคนอื่นจะลดลง ในขณะเดียวกันเราก็ฝึกตัวเองไป เขาก็ฝึกตัวไป ต่างก็ฝึกตัวเองไปพร้อมๆ กัน และตามมากันฝึกตัวเป็นทีมยิ่งดี พอฝึกตัวไปเรื่อยๆ แก้ไขตัวเองได้บ้างแล้ว เราจะมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น

                    การฝึกตัวไม่ง่ายนะ คนที่มาวัดทุกวัน มาสวดมนต์ทุกวัน มาประเคนภัตตาหารทุกวัน มาเข้าโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทุกวัน ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ มันต้องเอาชนะกิเลสที่อยู่ในใจระดับหนึ่งเลยทีเดียว ให้มองหาข้อดีของแต่ละคนที่อยู่รอบตัวเราให้ได้ แล้วก็ชักชวนมาทำด้วยกัน ถ้าคนในสังคมเอาใจมาอยู่กับตัวดังที่กล่าวมาจะมีความเห็นใจคนอื่น สังคมนั้นจะเป็นสังคมที่มีแต่ความปรารถนาดีต่อกัน แล้วการเข้าพรรษานี้จะเป็นพรรษาแห่งความสุข เป็นฤดูฝนที่มีความสุขมากๆ ในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ของชาวพุทธ

                      เรื่องราวต่างๆ ที่หลวงพี่นำมาพูดในวันนี้ ก็สรุปมาจากโอวาทคุณครูไม่ใหญ่ โอวาทคุณครูไม่เล็ก และจากพระไตรปิฎกหรือตำราทางพระพุทธศาสนาที่ผู้รู้หลายท่านเรียบเรียงไว้  หลวงพี่ก็รวบรวมเอามาเล่าให้พวกเราฟัง เพื่อให้รู้ว่ามีหลายเรื่องที่พระพุทธศาสนาสอนไว้ที่จะทำให้ชีวิตพ้นขากทุกข์ได้และมีความสุขทุกๆ วัน ดังนั้นพรรษานี้ให้จับดีซึ่งกันและกัน ซึ่งอาจเป็นมุมมองเล็กๆ ที่เราไม่เคยมองว่ามีข้อดีบางอย่างอยู่ ให้ทำใจนิ่งๆ ทำใจเป็นกลางๆ จะเริ่มมองเห็นข้อดีของตัวเอง ข้อดีของคนอื่น แล้วเดี๋ยวจะมีปัญญาอย่างเช่นที่พระสารีบุตรท่านทำให้ดู

                      ต้องบอกว่าเราโชคดีมีบุญที่เจอครูบาอาจารย์ดีๆ เจอคุณครูไม่ใหญ่ที่ท่านสอนให้เรารู้จักเส้นทางการสร้างบารมี เจอคุณครูไม่เล็กที่สอนวิธีการในการฝึกตัว การสร้างบารมี การจับดีผู้อื่น โดยเฉพาะจับดีตัวเอง ข้อเสียมีอยู่ทุกคน แต่ข้อดีลองไปหาดูเถิด วันแรกที่ไปอยู่กับท่านท่านให้พยายามถามดูว่านิสัยดีๆ ของเราที่มีมาจนถึงวันนี้มันมาอย่างไร ลองไปไล่ดูแล้วจะรู้ว่าชีวิตของเรายังมีดีอีกเยอะที่น่าค้นหา

                     พูดแล้วก็คิดถึงครูบาอาจารย์นะ คุณครูไม่เล็กก็ยังได้เจอทุกวัน แต่คุณครูไม่ใหญ่ก็ไม่รู้ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน ก็หวังว่าไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ด้วยคำสอนที่ท่านเมตตาให้ไว้ก็ขอให้ท่านได้พ้นจากทุกข์ใดๆ ที่เกิดขึ้นตอนนี้ พ้นพรรษานี้ไปด้วยบุญกุศลที่ตั้งใจทำ ก็ขอให้คุณครูไม่ใหญ่ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนขอให้ท่านมีความสุข และขออุทิศความดีและความตั้งใจที่จะทำตลอดพรรษานี้ ถวายแด่คุณครูไม่ใหญ่ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนก็ขอฝากเพลงนี้ไปถึงท่าน เผื่อว่าจะได้รับฟัง (เพลงตะวันไกล  ใจใกล้กัน)

                    คิดถึงท่านนะ ตั้งใจว่าบุญตลอดช่วงพรรษานี้จะทำอุทิศให้ท่าน ใครเป็นลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย เป็นลูกศิษย์ท่าน พรรษานี้ก็ลุยสร้างบุญบารมีอย่างเต็มที่ แล้วอุทิศบุญถวายท่าน เราทำบุญอุทิศให้ท่านแต่เราเองเป็นคนที่ได้ พรรษานี้เป็นพรรษาแห่งความเคารพ จับถูกตัวเอง จับดีผู้อื่น เรามาจำพรรษากันในตัวที่ยาววา หนาคืบ กว้างศอก อะไรเป็นเชิงลบไม่ต้องไปรับรู้ ปล่อยผ่านไป รักษาใจให้ปลื้มๆ เอาไว้ รับรองเราจะได้อะไรสมหวังอย่างที่ปรารถนา  
       
                    ด้วยบุญกุศลที่พวกเราได้ตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเองตามแนวทางชาวพุทธ ที่ครูบาอาจารย์พร่ำสอน โดยนำเอาคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก เอามาให้ได้เรียนรู้และเอามาใช้ การพัฒนากายและใจของพวกเราทุกคนที่ได้ตั้งใจทำทั้งพรรษานี้ รวมถึงบุญบารมีทำมาแล้วนับภพนับชาติในอดีตที่ระลึกไม่ได้ ขอให้บุญกุศลเหล่านั้น บารมีเหล่านั้น ประมวลรวมกันเข้าให้เป็นตบะ เป็นเดชะ เป็นพลวปัจจัย ให้พวกเราทุกคน นักเรียนโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทุกท่าน จำพรรษานี้ในกายที่ยาววา หนาคืบ กว้างศอก ด้วยความสุข ด้วยความปลื้ม ให้มีแต่ความสุขสมหวัง สมปรารถนา สุขภาพแข็งแรง เข้าถึงธรรมภายในได้โดยเร็วพลัน มีดวงธรรม ดวงปัญญาสว่างไสว ได้เป็นสัมมาทิฏฐิบุคคล ได้เจอครูบาอาจารย์ที่ดี ได้เจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สร้างบารมีร่วมกันไปทุกภพทุกชาติ ได้เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีผู้ใจบุญผู้ค้ำจุนพระพุทธศาสนาไปทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม จงทุกประการเทอญ

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562


โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
วันเสาร์ ที่ 28 กรกฎาคม  พ.ศ.2561
พระครูวิบูลนิติธรรม
แสดงธรรมเรื่อง ทบทวน Case Study
ห้อง SPD 4 สภาธรรมกายสากลฯ
.................................................................

                         สว่างดีนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทุกท่าน วันนี้ เป็นวันเข้าพรรษาพระภิกษุทั่วประเทศ จะลงอุโบสถเพื่ออธิษฐานพรรษา ว่าพรรษานี้จะรักษาเขตพรรษา อยู่ในที่ที่ตัวเองอธิษฐานพรรษาไว้ ตลอดพรรษา เรามาทบทวนวันเข้าพรรษากับวันอาสาฬหบูชา

 (เปิดวีดีโอ...วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา...)

                         วัดของเราลงอธิษฐานพรรษาวันนี้ตอน 16.00 น หลวงพ่อทัตตชีโว เป็นประธานสงฆ์ โอวาทมีสาระสำคัญคือก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่าอายุพระพุทธศาสนาจะสั้นหรือยาว มีเหตุปัจจัยอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถึงความเคารพ 7 ประการ -เคารพในพระพุทธเจ้า -เคารพในพระธรรม -เคารพในพระสงฆ์ -เคารพในการศึกษา   -เคารพในสมาธิ -เคารพในความไม่ประมาท -เคารพในปฏิสันถาร
                        หลวงพ่อทัตตชีโว เมตตาขยายความเคารพในปฏิสันถาร แปลว่าช่องว่าง
การเคารพ ปฏิสันถาร คืออุดรอยโหว่  ช่องว่าง  ...รอยโหว่ ช่องว่างคนคือความทุกข์ ทุกข์กายกับถูกใจ พระพุทธเจ้าตรัสถึงอามิสปฏิสันถาร มาอุดช่องว่างคือความทุกข์กาย ตรงกับคำสอนคุณยายอาจารย์ว่ามาวัดร้อยเลี้ยงได้ทั้งร้อย มาวัดล้านเลี้ยงได้ทั้งล้าน อุดช่องว่างทุกข์ทางกายและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
                          ช่องว่างอีกประการหนึ่งในตัวคน ก็คือทุกข์ทางใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงธรรมะปฏิสันถาร ธรรมะดับทุกข์ทางใจ ตรงกับคุณยายกล่าวสอนว่า มาวัดร้อยก็ให้เขาเป็นเจ้าหน้าที่ทั้งร้อย มาวัดล้านก็ให้เขาเป็นเจ้าหน้าที่ทั้งล้าน จะเป็นเจ้าหน้าที่ได้ต้องแนะนำเขา เรื่องการปฏิบัติตัว เป็นธรรมะพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

                          วันนี้อยากจะพูดเรื่องหนี้ หนี้เป็นพี่ของหนี ถ้ามีไม้โทก็เป็นหนี้ กลายเป็นพี่ของหนี
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงความสุขของคฤหัสถ์ไว้ 4 ประการ
 1 . สุขจากการมีทรัพย์
2 .  ได้ใช้จ่ายทรัพย์นั้น
3 . สุขจากการไม่มีหนี้ มันเจริญเติบโตตลอด 24 ชั่วโมง หมายถึงดอกเบี้ยนะ โดยเฉพาะหนี้นอกระบบ
4 . ทำงานไม่มีโทษ

                         ความมีหนี้เป็นทุกข์ในโลก วันนี้เอาธรรมะย่อมาบทสั้น ๆ ความจนทางโลกกับความจนทางธรรม ความจนทางโลกคือยากจนไม่มีทรัพย์ ชีวิตต้องกินต้องใช้ เมื่อไม่มีก็ต้องกู้ยืม
1 . ยากจน
2 . กู้ยืม
3 . ใช้ดอกเบี้ย
4 . ไม่ใช้ (ดอกเบี้ย) เจ้าหนี้ทวง
5 . ไม่ได้ (ถูกติดตาม จองจำ) เป็นทุกข์ของชาวโลก 

                        จนทางธรรม แม้รวยทางโลกแต่ไม่มีศรัทธา ไม่ละอายบาปกลัวบาป  ก็จนทางธรรมได้ เมื่อไม่มีศรัทธาก็ประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ แล้วปกปิดการทุจริต
1 . ไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริโอตตัปปะ
2 . ประพฤติทุจริต
3 .  ปกปิดการทุจริต รู้ไม่ได้โดนฟ้อง
4 . อกุศลวิตก ความกังวลบาปกรรมที่ทำขึ้น ไปทำคนอื่นเดือดร้อน มีความเดือดร้อนเข้าครอบงำ
5 . ละสังขารแล้ว ถูกจองจำในนรก หรือกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นี่เป็นทุกข์ในวัฏฏะสาร

                          ครูไม่ใหญ่ท่านเคยเล่าเรื่องปัญหาหนี้สิน มีผู้เกี่ยวข้อง ปัญหาหนี้สินจาก Cast Study
      1 . ทุกข์ของเจ้าหนี้ คือถูกเบี้ยวหนี้
     2 . ทุกข์ของลูกหนี้ คือเป็นหนี้
     3 . ทุกข์ของผู้ค้ำประกัน คือรับหนี้แทนคนอื่น ปัจจุบันมีข่าวเกี่ยวกับผู้ค้ำประกันที่เป็นครู 
           
วิบากกรรมทำให้ถูกเบี้ยวหนี้ ที่ได้ฟังจากครูไม่ใหญ่  ?
1 . อดีตชาติ ซื้อของแล้วไม่ยอมจ่าย
2 . อดีตชาติ ยืมเงินแล้วไม่คืน
วิบากกรรมที่ทำให้เป็นหนี้ ?
 1 . อดีตชาติ ทำบุญแล้วเสียดายภายหลัง
 2 . อดีตชาติเวลาช่วยใคร คิดจะเอาบุญคุณ
3 . อดีตชาติสนับสนุนการเบี้ยวหนี้ของคนอื่น
4 . อดีตชาติ ยึดมรดก  
5 . อดีตชาติ ไม่คืนเงินเจ้าหนี้
6 . อดีตชาติ ชวนเพื่อนเล่นการพนัน จนชีวิตเขาลำบาก
7 . อดีตชาติ คบคนพาล

วิบากกรรมที่ทำให้ ต้องมารับหนี้แทนคนอื่น ?
1 . อดีตชาติยืมเงิน เขาแล้วไม่คืน
2 . อดีตชาติพ่อแม่ยอมเป็นหนี้ เพื่อให้ได้เรียนต่อ
3 . อดีตชาติห้ามคนทำบุญ
4 . อดีตชาติคบคนพาล

 (เปิดเทป...ปกิณกธรรม จากครูไม่ใหญ่เรื่องภูต...)

                               เมื่อพูดถึงคำว่าผีแล้วคนส่วนใหญ่ มักจะนึกถึงภูตและปีศาจ ตามไปด้วย เพราะเรามักจะได้ยินได้ฟังกันจนคุ้นหูว่า ภูต ผี ปีศาจ ซึ่งคำว่าภูต ผี ปีศาจนั้น ในความเป็นจริงแต่ละคำก็ล้วนแล้วแต่มีความหมายเฉพาะเป็นของตัวเอง คือภูตก็อย่างหนึ่ง ผีก็อย่างหนึ่ง ปีศาจก็อย่างหนึ่ง

                                สำหรับคำว่าภูตนั้นที่ผ่าน ๆ มาครูไม่ใหญ่ได้ยกตัวอย่างให้นักเรียนอนุบาล ได้รับฟังกันไปแล้วนะจ๊ะบางส่วน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องภูตที่เป็นผีกระสือ หรือผีกระหังเป็นต้น หลายปีมาแล้ว ก็ไปติดตามทบทวนเอา แต่วันนี้ครูไม่ใหญ่จะมาพูดถึง ภูตอีกประเภทหนึ่ง ภูตมีตั้งหลายประเภท ที่ตอนเป็นมนุษย์ชอบใช้วิชาไสยเวทย์สายดำ มนต์ดำ หรือวิชาอาคมที่เบียดเบียนและทำร้ายมนุษย์ ซึ่งตรงข้ามกับวิชาไสยเวทย์สายขาว เป็นวิชาอาคมที่ใช้ในการรักษาหรือช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นี่นะจ๊ะ ตามทันไหมจ๊ะ

                                 สำหรับภูตประเภทนี้จะเป็นกายละเอียด ที่มีลักษณะภายนอกที่หลากหลาย แลดูน่ากลัวแต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียดมากนัก น่ากลัวอย่าง น่าเกลียดอย่างหนึ่ง น่ากลัวก็อาจจะตัวโตใหญ่ สูงใหญ่ขนาดตึก 2 ชั้น 3 ชั้นอย่างเนี่ยนะ แต่หน้าตาอะไรก็ยังไม่ถึงกับน่าเกลียดนี่นะ ยกตัวอย่างเช่น บางตนก็มีร่างกายซูบผอม และมีผิวหนังที่เหี่ยว แห้ง ช้ำเลือด ช้ำหนอง นี่ก็น่าเกลียดแล้ว ทั้งน่ากลัว น่าเกลียด

                                บางตนก็มีนิ้วที่ยาวกว่าปกติ หรือบางตนมีร่างกายใหญ่โตผิดมนุษย์ แต่ก็ยังไม่ สูงใหญ่เท่ากับเปรต เป็นต้น ตามทันไหมจ๊ะ เมื่อได้เทียบสัดส่วนตัวใหญ่ และที่สำคัญพวกภูตประเภทนี้จะมีฤทธิ์ประจำตัวอยู่เป็นปกติ ส่วนว่าฤทธิ์ประจำตัวของภูตแต่ละตน จะมากน้อยขนาดไหนนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนเพิ่มเติม หลังจากที่พวกเขาได้ไปเป็นภูตแล้ว  มีการ เรียนกวดวิชาอะไรอย่างนี้ สำหรับการฝึกฝนเพิ่มเติม หลังจากที่พวกเขาไปบังเกิด เป็นภูตแล้ว มันก็มีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง เป็นหลัก ๆ  ดังต่อไปนี้คือ     
                        1 . ฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยตัวเอง
                        2 . ฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยการไปเรียนกับอาจารย์ไสยเวทย์ ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ากว่า แต่เป็นพวกเดียวกันนะ
                        3 . ฝึกฝนเพิ่มเติมโดยมีอาจารย์ไสยเวทย์ ที่มีวิชาอาคมแก่กล้า คอยส่งฤทธิ์และส่งวิชามาให้ ทั้งอาจารย์ไสยเวทย์ที่ยังมีชีวิตอยู่และที่ละโลกไปแล้ว และยิ่งภูตประเภทนี้ มีอายุที่ยืนยาวมากเท่าไหร่ ฤทธิ์ของพวกเขาก็จะยิ่งแก่กล้าเพิ่มมากขึ้น ตามอายุของพวกเขาอีกด้วย  

                                 สำหรับสาเหตุที่ทำให้พวกเขา ต้องมาบังเกิดเป็นภูต ที่ชอบใช้วิชาไสยเวทย์ สายดำ หรือวิชาอาคมที่ใช้ในการเบียดเบียนและทำร้ายมนุษย์นั้น ทั้งนี้ก็เกิดจากสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขามีความชอบและสนใจในการศึกษาวิชาไสยเวทย์ สายดำ อยู่เป็นประจำ พวกที่ชอบอย่างนี้นะจ๊ะ

                               ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่พวกเขา กำลังจะเสียชีวิต ด้วยความที่ใจของพวกเขามีความผูกพันอยู่กับวิชาไสยเวทย์ สายดำเป็นอย่างมาก นักเรียนตามทันไหมจ้ะ กอปรกับ ณ ช่วงเวลานั้น บาปที่พวกเขาได้เคยกระทำเอาไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ได้ช่องที่จะส่งผลให้ไปเป็นอย่างอื่น ให้ไปอบายนี่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขา ต้องมาบังเกิดเป็นภูตประเภทนี้นั่นเอง ตามทันไหมจ้ะ   

                               ส่วนว่าพวกเขาจะต้องไปบังเกิดเป็นภูตอยู่ ณ ที่แห่งไหนนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากพวกเขามีความห่วง หรือผูกพันอยู่กับสถานที่ใดเป็นพิเศษ พวกเขาก็จะต้องไปเฝ้ารักษาอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น โดยพวกเขาก็ได้ใช้วิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาในสมัยที่ยังมีชีวิต ดูแลรักษาพื้นที่แห่งนั้นอยู่ตลอดเวลา

                               เช่นภูตที่หวงแหนและเฝ้าพื้นที่ป่า บางแห่งนะจ๊ะ เวลามีใครมารุกรานในเขตพื้นที่ของภูตพวกนี้ พวกเขาก็จะเกิดความไม่พอใจ และเมื่อภูตพวกนี้เกิดความไม่พอใจแล้ว พวกเขาก็จะได้ใช้ฤทธิ์ขับไล่ หลอกหลอน หรือทำร้ายบุคคลนั้น ๆ หรือไม่พวกเขาก็อาจจะแปลงกายเป็นสัตว์ประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสือ หมาดำ หรืองูเป็นต้น

                                 ก็มุ่งหมายที่จะเข้าไปทำร้ายบุคคลนั้น ๆ ไม่ให้เข้ารุกรานพื้นที่ป่าของพวกเขา ณ พื้นที่นั้นนะจ๊ะ แต่พวกเขาก็จะสามารถทำร้ายได้ เฉพาะผู้ที่มีวิบากกรรมร่วมกันมากับพวกเขาเท่านั้นเป็นต้น หรือถ้าหากพวกเขายังมีความอาฆาต หรือจองเวรเอาไว้กับใครในสมัยที่ยังมีชีวิต ที่มีคนมาฆ่า หรือมาทำร้ายพวกเขา
                                 เมื่อพวกเขาละจากโลกนี้ไปแล้ว พวกเขาก็จะไปบังเกิดเป็นพวกภูตที่คอยตามไปล้างแค้น หรือคอยคิดบัญชีกับพวกคนที่พวกเขาอาฆาตเอาไว้ ในการตามไปหลอกหลอน หรือทำร้ายคนเหล่านั้นเป็นต้น แปลว่าก็ไม่ได้ไปทำอย่างนี้ได้กับทุก ๆ คน ได้กับบางคนที่ผูกเวรกันมานะจ๊ะ  
หรือภูตบางประเภท ในสมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะเป็นคนมักโกรธ หวงทรัพย์ และชอบที่จะศึกษาวิชาไสยเวทย์ เพื่อไปทำร้ายผู้อื่น หรือไปทำร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น เพราะคนพวกนี้ละจากโลกนี้ไปแล้ว พวกเขาก็จะไปบังเกิดเป็นภูต คอยเฝ้าทรัพย์ของตนเองตลอดเวลาเป็นต้นนั่นเอง เฝ้าแต่ตัวเองก็ใช้ไม่ได้ (จบ)

                                        ก็เป็นปลายทางหลังจากเสียชีวิตของภูต ผู้ที่เข้าไปข้องเกี่ยวกับไสยเวทย์สายดำ (มักสร้างความเดือดร้อนให้กับคน) ไปเป็นภูตกับปีศาจ แต่ครูไม่ใหญ่เล่าแตกต่างที่ว่า ภูตเป็นระดับลูกศิษย์ ที่เข้ามาผูกพันกับไสยเวทย์ สายดำ ถ้าปีศาจระดับปรมาจารย์ อยู่กับวิชาไสยเวทย์ สายดำ เรามาเข้าเรื่องกฎแห่งกรรมกัน

ติดตาม  link  vedeoได้ที่ ....http://bit.ly/2EbNN5t

โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2561   พระครูสังฆรักษ์อน...