วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561



โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2561

พระพรมสรร อภิวฑฺฒโน

แสดงธรรมเรื่อง คนดีที่โลกต้องการ

ห้องSPD 4 สภาธรรมกายสากล ฯ

*******************************

สวดธรรมจักรแล้วต้องปลื้ม เพราะนี่เป็นบุญของเรา เป้าต่อไปวันอาสาฬหบูชาเราจะสวดกันให้ได้ 600 ล้านจบ  สวดธรรมจักรแล้วทำให้ใจสบายทำอะไรก็สำเร็จ สวดแล้วใจไปหยุดอยู่ฐานที่ 7 ก็จะสำเร็จอย่างสบาย ๆ นี่คือหลักวิชชา เราจะมีความสุข ความสำเร็จ เราก็ต้องมีบุญ

วันนี้วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว  เป็นวันอุปสมบทของพระอาจารย์เอง  บวชเมื่ออายุ 22 ปี มานึกย้อนกลับไปแล้วรู้สึกปลื้มใจว่าชีวิตหนึ่งเราดำเนินมาเหมือนมนุษย์ชาวโลกทั่ว ไป แต่พอถึงจุดที่ต้องเลือก ต้องอนุโทนาบุญขอบคุณตัวเองที่เลือกเส้นทางนี้

ตลอดระยะเวลาที่เดินมาในเส้นทางนี้ 10 ปีไม่เคยนึกเสียใจเลย มีแต่ความปลื้มปีติใจ พอครบวันบวชแต่ละปีก็มานั่งนึกย้อนทบทวนบุญตัวเองว่า เราได้ทำหน้าที่ของความเป็นพระ เป็นสมณะของเราได้สมบูรณ์แค่ไหนแล้ว ก็เอาปัจฉิมโอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเกณฑ์

ปัจฉิมโอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ….ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารของเรา ไม่เที่ยง  มีความเสื่อมเป็นธรรมดา   ท่านทั้งหลายจงยังประโยชน์ตน   และประโยชน์ผู้อื่น  ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด

ขยายความ ท่านสอนว่าสังขารเรามีความไม่เที่ยง ต้องหาที่พึ่งที่ระลึกให้กับตัวเอง และเป็นกัลยาณมิตรแนะนำความบริสุทธิ์บริบูรณ์ที่พึ่งเหล่านี้ให้แก่ผู้อื่นด้วย บนหลักของความไม่ประมาท    พวกเราเอาไปทบทวนก็ได้ เพราะธรรมะของพระพุทธองค์ 84,000 พระธรรมขันธ์ ธรรมะมีเยอะก็จริง แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมด ถ้าบอกว่าเราต้องรู้ธรรมะทุกข้อ  ธรรมะจริง ๆไม่ได้มีเพียง 84,000 พระธรรมขันธ์

ครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กำใบไม้มา 1 กำมือ แล้วถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพวกเธอว่า ใบไม้ในกำมือของเรา กับใบไม้ในป่าใหญ่อันไหนมากกว่ากัน พระภิกษุตอบว่าในป่ามีมากกว่าพระเจ้าค่ะ  พระองค์ตรัสว่า ถูกแล้ว  ...ใบไม้ในป่าเยอะกว่าใบไม้ในกำมือฉันใด ธรรมะหรือสัจธรรมที่ตถาคต หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงตรัสรู้ก็มีมากเฉกเช่นเดียวกับใบไม้ในป่าที่นับค่าประมาณไม่ได้ฉันนั้น  ….ส่วนใบไม่ในกำมือ ตถาคต หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ทรงเลือกและคัดสรรแล้ว เลือกในหมวดหมู่ที่เหมาะสมกับปัญญาของมนุษย์ในยุคนั้น

ถามว่าธรรมะที่อยู่ในกำมือของพระพุทธเจ้าดีกว่าที่เหลืออยู่จึงไม่ถูก เพราะธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณวิเศษเทียบเท่ากันหมด ไม่มีข้อไหนดีกว่าข้อไหน แต่ที่เลือกมาเพราะปัญญาของมนุษย์ยุคนี้ ที่มีอายุขัยเฉลี่ย 100 ปีในยุคพุทธกาล สามารถคิดพิจารณาไตร่ตรองได้ในข้อธรรมเหล่านี้ก็เลยทรงเลือกมา ทำให้ในสมัยก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้หรือไม่ว่าสมัยนี้มีเรือดำน้ำ เอาเหล็กเชื่อมกัน และสามารถบรรจุคน อัดก๊าชออกซิเจนเข้าไปแล้วลอยจากประเทศหนึ่งไปโผล่อีกประเทศหนึ่ง ด้วยญาณทัสนะท่านก็รู้

แต่ว่าใน 84,000 พระธรรมขันธ์ไม่ได้พูดถึง หรือเครื่องบินที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ เมื่อ 2,500 กว่าปีพระพุทธองค์ก็รู้แต่ท่านไม่ได้ตรัส ก็คือส่วนหนึ่งของใบไม้ในป่า  สมัยก่อนแม้สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้ แต่พูดไปแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์ ท่านจึงไม่พูด

ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเยอะ  แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องรู้หมดก็ได้ ธรรมะแต่ละหัวข้อของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ถ้าเราทำได้ถูกต้องและครบถ้วน  แค่หัวข้อเดียวเราสามารถสำเร็จประโยชน์สูงสุด  บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้   เหมือนปัญจวัคคีย์  ฟังเรื่องธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แล้วท่านก็บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล ได้ที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด

ส่วนธรรมะข้ออื่น ๆ ที่แสดงมาในภายหลัง ท่านยังไม่ได้ยินได้ฟังเลยแต่ท่านหมดกิเลสแล้ว สมบูรณ์แล้ว แต่ที่ต้องทรงแสดงถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ เพราะจริตของคนในยุคนั้นมีเยอะมาก บางคนชอบหัวข้อธรรมนี้  ฟังแล้วรู้สึกโดนใจ  เกิดแรงบันดาลใจอยากจะปฏิบัติ  แต่บางคนฟังแล้วก็เฉย ๆ หัวข้อนี้ไม่โดน   จึงต้องแสดงหัวข้อธรรมใหม่ ไปเรื่อย ๆ จนสามารถรวบรวมได้ 84,000  พระธรรมขันธ์

ถ้าเราไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระพุทธองค์ก็ทรงย่อเป็นมรดกทิ้งท้ายเอาไว้  ก่อนที่จะดับขันธปรินิพพานว่า   ถ้าจำอะไรไม่ได้ก็จำข้อสุดท้าย ปัจฉิมโอวาท ธรรมข้อนี้ กลาง ๆ ที่สุดแล้ว  …ก็คือ เตือนก่อน ว่าอย่าลุ่มหลง สังขารร่างกายของตัวเราบุญเก่าทำมาดี สวย หล่อ ฉลาด รวย สิ่งเหล่านี้ก็คือสังขาร ที่ประกอบขึ้นด้วยบุญกุศลเก่า แต่ไม่เที่ยง   มันบ่งบอกเราว่าทำบุญมาเยอะ  และจุดประสงค์ก็เพื่อให้เราไปต่อบุญใหม่ เป็นอุปกรณ์ในการสร้างบุญบารมี  ทำความดีใหม่  ทำไปเรื่อยจนกว่าจะถึงเส้นชัย  คือบรรลุมรรคผลนิพพาน หรือที่สุดแห่งธรรม

พอเรารู้ว่าสังขารของเราไม่เที่ยงท่านก็ให้หลักว่า ประโยชน์มีอยู่ 2 อย่าง

1.ทำประโยชน์ของตัวเราเองทำให้สมบูรณ์ คุณครูไม่ใหญ่ท่านสรุปไว้ เราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง  แสวงบุญ  สร้างบารมี  เมื่อเราทำแล้วเรารู้สึกว่ามีความสุข มีความบริสุทธิ์บริบูรณ์  บุญบารมี  คุณงามความดีของเราเพิ่มมากขึ้น  เกิดกำลังใจและแรงบันดาลใจ ก็นำความรู้ นำแนวทางการปฏิบัติที่เราได้ตั้งใจทำไปยังประโยชน์แก่ผู้อื่น

2. เป็นกัลยาณมิตร  ทั้งแนะ  ทั้งนำ  ทั้งชัก  ทั้งชวน ให้เขาได้มารู้เป้าหมายชีวิต เหมือนกับเราคือทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี เหมือนกับเรา

แต่ประโยชน์ทั้ง 2 อย่าง คือประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน อย่าประมาท บางทีเราอยู่ในเส้นแห่งความดี ในความสะดวกสบายก็เผลอ ประมาทไม่เป็นไร นิดเดียว เหมือนเรามีน้ำอยู่ตุ่มหนึ่ง มีเกลืออยู่ 1 ช้อน ใส่เกลือไปหน่อยยังไงก็ไม่เค็ม เติมเกลือไปเรื่อย ๆ วันละช้อน

แม้เราทำประโยชน์ตน หรือแนะนำประโยชน์ท่าน เราอยู่ในเส้นทางสร้างบารมีตลอดเลย  จนมองไม่เห็น หรือบาปยังไม่มีโอกาสส่งผล   เราก็อย่าประมาท อย่ามองว่าความชั่วเล็กน้อยไม่เป็นไร  ทั้งาม่ะ  พระองค์ตรัสว่า ถูกแล้ว  ... พอเกลือเต็มโอ่งก็ต้องทนกิน เหมือนกับเราต้องทนรับวิบากกรรม เกิดเจ็บป่วย ธุรกิจการงานประสบปัญหา ครอบครัวทะเลาะวิวาทกัน ขโมยก็มา

พวกเรามาทบทวนเราเข้าวัดมากี่ปี  ร่วมกันทำประโยชน์ตนของเราคือทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี เพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้าประโยชน์เราเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ แล้วเราช่วยเหลือคนอื่นหรือเปล่า   ถ้าเราไม่ช่วยเหลือคนอื่นก็ไม่ดี   เพราะกว่าที่เราจะเข้าวัดได้ก็ยาก กว่าจะฝ่าแรงต้านมาได้     พอเรามาถึงวัด  เรารู้สึกว่าเราขอบคุณกัลยาณมิตร  หรือผู้ที่ตั้งใจทำประโยชน์ตนไว้ก่อน สมบูรณ์ก่อนให้มีหลักการปฏิบัติบริสุทธิ์ บริบูรณ์ก่อน ที่เราเห็น เราสัมผัสได้ในปัจจุบันก็คือ มหาปูชนียาจารย์  มีพระเดชพระคุณหลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยายอาจารย์ฯ และพระอาจารย์ที่ใกล้ชิดเรา เรามีความรู้สึกว่าเราขอบคุณท่านเหล่านั้น

เพราะนอกจากท่านทำประโยชน์ตนให้สมบูรณ์แล้ว ท่านยังทำประโยชน์ให้กับเราด้วย คือเป็นกัลยาณมิตรมาสอนเรา  ถ้าท่านไม่สอน   เราก็คงไม่ได้เข้าวัด  ถ้าท่านไม่ทำประโยชน์ข้อที่ 2  วันนี้ก็คงไม่มีเราแน่นอน   ถ้าไม่มีพระอาจารย์ไปชวนบวชหลวงพี่ก็คงไม่รู้จักวัดพระธรรมกาย   ไม่รู้เลยว่าการบวชดีอย่างไร  เราจะฝืนกระแสทางโลกมาบวชได้ยังไงนึกภาพไม่ออกเลย

เพราะฉะนั้นเมื่อเราสมบูรณ์ระดับหนึ่งแล้ว  ทำหน้าที่มอบโอกาสที่ดี หนทางในการสร้างบารมีให้กับคนอื่นด้วย  และทำไปอย่างไม่ประมาท  พอนึกทบทวนแล้วก็ปลื้มใจ เป็นกระจกย้อนดูเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน เป็นกันอย่างไรบ้าง

สิ่งหนึ่งที่มองว่าเขายังหาไม่เจอก็คือ ความสุขภายในตัว เขายังหาไม่เจอ ก็เลยเป็นข้อแตกต่างกันว่า เส้นทาง 2 เส้น ถ้าระยะเวลายิ่งไกลความแตกต่างยิ่งมาก ถ้าเราเป็นเหมือนเพื่อนก็คงเหมือนเขา แต่พอมองย้อนกลับไป  วิถีชีวิตเราต่างกันมาก   และสิ่งที่เราได้รับก็รู้สึกว่าต่างกว่าเขามาก

เมื่อก่อนคิดว่าอยากจะบวช  เพราะว่ามานั่งสมาธิแล้วความสุขภายใน และเป็นแรงกระตุ้นเตือนว่าเราเป็นโยม ต้องเรียนหนังสือมีภาระเรื่องราวให้กลุ้มให้เครียดเยอะแยะ เวลาเราได้นั่งสมาธิเรายังมีความสุขขนาดนี้เลย ถ้าเรามาบวชไม่มีเรื่องเครียดทางโลกแล้ว  เราน่าจะมีความสุขมาก แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปนะ  แต่พอมาบวชแล้วก็มีความสุขจริง ช่วงแรก ๆ เพราะเราได้ทำประโยชน์ตนอย่างเต็มที่ เรายังไม่มีภาระอะไรเลย

พรรษา 1 ก็ไปอบรมที่เขาแก้วเสด็จ  ยุคนั้นหลวงพ่อทัตตชีโวท่านไปสอนเอง คุณครูไม่ใหญ่ท่านก็บอกว่า มาบวชให้ได้ 500 ในพรรษานี้  เราจะทำการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา เอาธรรมะให้เผยแผ่ไปทั่วโลก  ก็ไม่คิดว่าอีกปีสองปีต่อมาท่านจะบวชเป็นแสน

ปกติวัดพระธรรมกายบวชเข้าพรรษาอย่างมากก็ 100 รูป แต่ปีนั้นท่านบอกว่าต้องได้ 500 รูป ก็มีความรู้สึกว่าเราก็เรียนจบพอดี เราสงสัยก็ต้องเป็น 1 ใน 500 ก็เลยได้บวชได้ไปฝึกตัวอยู่เขาแก้วเสด็จก็ไม่ใช่สบายเหมือนทุกวันนี้ จากนั้นก็มีโอกาสได้กลับวัดพระธรรมกาย ได้มาทำหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยง ก็เริ่มรู้สึกว่ามีภาระแล้ว ต้องแบ่งเวลาในการฝึกตัวเองส่วนหนึ่ง แล้วก็แบ่งเวลาอีกส่วนไปฝึกผู้อื่นด้วยส่วนหนึ่ง

 

เมื่อก่อนพรรษาสอง เป็นพระพี่เลี้ยงพรรษาหนึ่ง รุ่นหนึ่งประมาณร้อยกว่ารูปคัดเหลือ 5 หรือ 6 รูป แต่ละปีไม่เหมือนกัน แล้วก็ดูแลน้องรุ่นถัดไป  ซึ่งมี 100 กว่ารูปเหมือนกัน   สมัยก่อนอบรมกันประมาณ 9 เดือน อยู่ด้วยกันตลอด ตื่นตี 4 ครึ่ง นอน 5 ทุ่มถึงเที่ยงคืนอย่างนี้ทุกวัน รู้สึกว่าประโยชน์ท่านเข้มงวดเลย รู้สึกว่าเรามีความสุข นั่งสมาธิ เราปล่อยวางยังทำอะไรได้ รู้สึกว่ามองไม่เห็นปัญหาอุปสรรค

แต่พอจบการเป็นพระพี่เลี้ยงพรรษา 1 หลวงพี่ก็พรรษา 2 หลวงพ่อก็ประกาศว่า บวชแสนรูปแล้วกระจายไปทั่วประเทศ พระที่อยู่ต่างประเทศเรียกกลับหมดเลย ต้องเปิดให้ได้ 300 ศูนย์ ศูนย์ละ 333 คน รวมแล้วได้ 1 แสนพอดี ตอนนั้นเหมือนกับแม่ทัพลั่นกองรบเลย

เรานักรบใหม่ได้ยินเสียงกองชัยแล้วรู้สึกฮึกเหิม แต่ก็ไม่รู้ว่าหัวเมืองที่เราจะไปอยู่ประจำ อยู่ที่ไหน พอประกาศรายชื่อมา 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตอนนั้นรู้สึกว่า ตอนที่เกิดเหตุการณ์ใหม่ ๆ พ.ศ. 2547 ประมาณต้นปี ประมาณ มกราคม กุมภาพันธ์ ตอนนั้นกำลังจะเรียนจบ มัธยมศึกษาปีที่ 6 รู้สึกว่าฆ่ากันตายทุกวัน ฆ่าพระ ฆ่าโยม ตำรวจก็จับไม่ได้ ฆ่าทหารด้วย   ถ้าเราติดทหารเขาส่งไป 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะทำอย่างไร  มีความรู้สึกว่ากลัว  ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าวัด  ความคิดอยู่ในใจตลอดมา

ผ่านไป 4 ปี ในที่สุด พ.ศ. 2551 เรียนจบก็บวช ผ่านไป 2 พรรษา ปลายปี พ.ศ. 2552 มีหมายเรียกจับได้ใบแดงของกองทัพธรรม  ถูกส่งลงไปพื้นที่สีแดง  ตอนนั้นที่กองจราจรมีพระ 6 รูป จับคู่กัน แล้วลงไป 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ 3 ศูนย์

 ศูนย์ที่ 1 จังหวัดปัตตานี พระ 2 รูป  ...รูปหนึ่งท่านเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด อีกหนึ่งท่านเป็นคนหนองคาย ก็คิดว่าพระนิพพานจัดสรร หมู่คณะเลือกแล้วคงไม่มีวิบากอะไร คิดแล้วสบายใจก็คิดเอาเอง   ส่วนของเราจับคู่กัน..     ได้ ยะลา .. นราธิวาส ...ปัตตานี มารวมกัน 3 จังหวัดบวชที่ จังหวัดปัตตานีมีศูนย์เดียวเป็นศูนย์แรก   เหลือ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ติดเป็นพื้นที่สีแดงด้วย ประกาศรายชื่อ หลวงพี่ก็ไปลงตรงนั้น อำเภอสะบ้าย้อย  ..เทพา .. จะนะ.. นาทวี  ลงไปด้วยความไม่รู้ว่าอะไร แค่ไหน

ประชาสัมพันธ์ไปชวนคนบวช จะต้องทำให้ใหญ่คนสนใจมีหลักว่า .. ให้เด่น  คนมองเห็นชัดเจน... ให้ดัง ต้องเสียงดัง ไปจ้างรถติดป้ายชวนบวชแสนรูป ภาพพระมหาธรรมกายเจดีย์ชัดเจน ออกแบบสีจัดจ้าน ...มองเห็นเด่น ลำโพง 4 มุม เราไม่รู้ว่าทำได้หรือเปล่า รู้สึกว่าทำแบบนี้แล้วจะได้คน   ขึ้นเขาลงห้วยไปตั้งแต่เช้า ไปชวนบวชได้ 111 รูป  ก็ยังปลื้มใจ แต่ว่าตอนนั้นก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไร  กำลังใจก็ยังเต็มเปี่ยม  ถ้าถามตั้งแต่วันแรกว่าถ้าบวชแล้วจะไม่ได้จำพรรษาอยู่วัดพระธรรมกาย ถ้าถูกส่งลงพื้นที่ไหนก็แล้วแต่  ถามว่าจะบวชไหม  ก็อาจจะคิดดูก่อน  เพราะไม่รู้ไปแล้วจะไปอยู่อย่างไร อยู่กับใคร ยังโชคดีที่ได้บวชที่โบสถ์วัดพระธรรมกาย

แต่ได้ใช้สิทธิ์ปวารณาเข้าพรรษาที่โบสถ์วัดพระธรรมกายพรรษาปีเดียว เวลาผ่านไป 10 ปีทำประโยชน์ตนก็พอได้  แค่ประคองตัวเป็นพระได้ 10 ปีสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว การบวชพระยาก  ฉะนั้นหยวน ๆ กับพระหน่อย พระธรรมวินัยก็ศึกษาอยู่แต่ยังไม่รู้ทุกอย่าง สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ก็ให้ใช้ ถ้าอยากได้พระดี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ  ศีล 227 ข้อไม่ด่างพร้อยต้องลองมาบวชเอง

พอมีภาระหน้าที่ทางพระพุทธศาสนาได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่น ได้ทำประโยชน์ตนเป็นกัลยาณมิตรชักชวนทั้งครอบครัวตัวเอง บุคคลอันเป็นที่รัก หมู่ญาติ พี่น้องทุกคนให้มีโอกาสได้พบเจอกัน มีโอกาสได้เกื้อกูลกัน

หลวงพี่ก็ได้ประโยชน์จากญาติโยมที่ได้สนับสนุนปัจจัย 4 ก็ถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณซึ่งกันและกัน เกื้อกูลกันมาอย่างนี้ ใครอยากมีความสุขอย่างนี้ พรรษานี้ก็มาบวชกัน มีบวชกันแทบทุกจังหวัด ทั่วประเทศ หรือใครสะดวกก็มาบวชที่วัดพระธรรมกาย จะได้มาสวดธรรมจักรที่มหาธรรมกายเจดีย์ที่ตรงนี้บุญเยอะ

วันอาสาฬหบูชาตรงกับวันที่ 27 กรกฎาคม 2561 จะมีพิธีตักบาตรฉลองพระใหม่ ตรงกับวันพระ ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมภาคใต้มีงานบุญวันพระ พิธีปุพพเปตพลี จะได้ถือโอกาสชักชวนหมู่ญาติของนาคธรรมทายาทได้มาร่วมงานปุพพเปตพลีด้วย ก็เป็นการเชื่อมสายบุญกัน ลูกหลานมาบวช พาหมู่ญาติมาจะได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษของเรา ก็อาศัยลูกหลานของเราที่บวชเชื่อมศีล เชื่อมบุญของท่านเป็นโอกาสที่ดี

เกิดเป็นลูกผู้ชาย ต้องบวชให้ได้อย่างน้อย 1 พรรษา สำหรับท่านหญิงบวชไม่ได้ก็ต้องสนับสนุนปัจจัย 4 ให้ได้บวช  เช่น จีวร อาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย เสนาสนะ เพราะผู้บวช บวชฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่มีค่าใช้จ่าย

คุณสมบัติของคนดี มีปกติว่า คิดดี พูดดี ทำดี

คนดีเรานึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเกณฑ์  ดีเพราะว่าท่านคิดดีเป็นปกติ พูดดีเป็นปกติ ท่านทำดีเป็นปกติ แต่ในสมัยพุทธกาลชาวโลกก็ไม่ได้รักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด นั่นก็แสดงว่าก็ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำความดี   การทำความดีแล้วโลกไม่ต้องการ คนรอบข้างไม่ต้องการ มี 2 ประเภท  1.ขึ้นอยู่กับตัวเรา ยังทำความดีไม่สมบูรณ์   2.คนอื่นมองว่าอิจฉาเรา ก็ไม่ต้องตามไปแก้เป็นเรื่องของเขา

คนดีที่โลกต้องการมีคุณสมบัติอยู่ 3 ข้อ   

1.ทำความดีแล้วต้องถูกดี ถูกวัตถุประสงค์ของความดี  ทำความดีถูกกับตัวบุคคล  ทำความดีถูกเวลา   ทำความดีถูกสถานที่

2.ทำความดีต้องถึงดี การทำความดีอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอให้ถึงที่สุด เหมือนเราเอาไม้มาสีกันจนเกิดไฟขึ้นมาได้ ไม่หยุดสีจนกว่าไม้จะติดไฟ

3.ทำความดีต้องพอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป เหมือนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร อัตตกิลมถานุโยค ทรมานตนเองหนักเกินไปไม่ดี, กามสุขัลลิกานุโยค หมกมุ่นในกาม สบายเกินไปไม่ดี มันต้องมัชฌิมาปฏิปทา

ตัวอย่าง ในสมัยพุทธกาลมีภิกษุรูปหนึ่งออกบวชด้วยศรัทธาในเบื้องต้น แต่ปลายคด ชื่อ พระเทวทัต ในสมัยนั้นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา มีพุทธสาวก พุทธบริษัททั้ง 4 มากพอสมควร

พระเทวทัต มีความคิดว่าอยากจะปกครองสงฆ์เอง จึงเข้าไปถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทูลขอต่อพระพุทธเจ้า กล่าวว่า พระพุทธองค์พระเจ้าข้า พระพุทธองค์อายุมากแล้ว อย่าพอใจ  อย่าขวนขวายในความมักมากในการเป็นผู้ปกครองบริหารสงฆ์เลย   มอบตำแหน่งนี้ให้กับข้าพระองค์เถิด  ข้าพระพุทธเจ้าจะจัดการให้ดี

ถ้าเราฟัง เราอ่านใจพระเทวทัตไม่ออก อาจจะคิดว่าพระเทวทัตหวังดี เพราะอ้างเหตุผลมาว่าพระพุทธเจ้าอายุมากแล้ว   แต่ความจริงพระเทวทัตอายุมากกว่าพระพุทธเจ้า เนื่องจากพระเทวทัตเป็นพี่ชายของพระนางพิมพา   แต่พระนางพิมพาเป็นสหชาติกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือเกิดวันเดียวกัน   คนฟังมีความรู้สึกว่า มีเหตุผล พระพุทธเจ้าบริหารสงฆ์มามาก   อย่ายึดติดกับอำนาจเลย    ปล่อยวางเสีย    เปลี่ยนคนบริหารบ้าง   แต่ก็มีหลายคนคิดว่าพระเทวทัต ไม่เจียมตัวเลย

การกระทำของพระเทวทัต ถ้าบอกว่าจะรับภาระบริหารสงฆ์แทน เพื่อปลดภาระให้พระพุทธเจ้าได้อยู่สบาย ถ้าเรามองว่าเป็นความดี แต่เป็นความดีที่โลกไม่ต้องการ   พระเทวทัต  ทำผิดวัตถุประสงค์ของการทำความดี ทำเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พูดออกไปว่าตัวเองไปแบ่งเบาภาระ ผิดหลักวัตถุประสงค์การทำความดี

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์เอกสูงสุด ใครจะมายิ่งใหญ่หรือเทียบเท่าพระองค์ไม่ได้ การที่ไปขอปกครองสงฆ์เองคือใหญ่กว่าท่าน ไปเทียบเท่ากับท่าน เรียกว่าทำไม่ถูกคน และไม่ถูกเวลา  สถานที่ก็ไม่ถูก   การกระทำของพระเทวทัตก็ไม่พอดี อยู่เป็นพระสาวกก็ดีอยู่แล้ว ทะเยอทะยาน เกินไปไม่พอดี   หลักในการทำความดีเรียกได้ว่าแอบอ้างทำความดี  ไม่ผ่านเกณฑ์ความดีที่โลกต้องการ เพราะฉะนั้นพระเทวทัตจึงไม่ได้รับการยอมรับ

หรือไปทูลขอพระพุทธเจ้าว่าบวชเป็นพระต้องเคร่ง แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องเคร่ง ทั้ง 5 ข้อนี้   คือ 1.ต้องบิณฑบาต ฉันเป็นวัตร ห้ามรับกิจนิมนต์โยม   2.ห้ามรับถวายผ้าบังสุกุลจีวร   3.ห้ามฉันเนื้อสัตว์   4.ต้องอยู่ป่าเป็นวัตร ไม่เข้าไปในชุมชน   5.อยู่ใต้ต้นไม้ห้ามอยู่ในที่มุมบัง

พระเทวัตแอบอ้างว่าทำเพื่อปฏิรูปคณะสงฆ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงอนุญาต ว่าใครอยากทำก็ทำ ใครไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ เอาความสบายเป็นเกณฑ์ แต่สำหรับเรื่องการขบฉันอาหาร เนื้อสัตว์ฉันได้ แต่ต้องมีกฎเกณฑ์ว่า   1.เธอต้องไม่เห็นเขาฆ่ามาเพื่อทำอาหารให้เธอฉัน   2.เธอต้องไม่ได้ยินเขาคุยกันว่าเขาจะฆ่าเพื่อจะทำอาหารมาถวายให้เธอฉัน   3.เธอก็ไม่ได้สงสัยอาหารที่ฉันเขาตั้งใจฆ่ามาถวาย

เนื้อที่ทรงห้ามพระภิกษุฉันมี 10 อย่าง    1.เนื้อคน    2.เนื้อช้าง เป็นญาณพาหนะของพระราชาเป็นของสูง   3.เนื้อม้า เป็นญาณพาหนะของพระราชาเป็นของสูง   4.เนื้อสุนัข เป็นสัตว์ชั้นต่ำ    5.เนื้องู   6.เนื้อหมี   7.เนื้อราชสีห์   8.เนื้อเสือเหลือง   9.เนื้อเสือโคร่ง   10.เนื้อเสือดาว

พระเทวทัตก็ผิดหวังกลับไป ความดีที่อ้างมาว่าจะปฏิรูปสงฆ์ไม่ใช่ความดีที่โลกต้องการ วัตถุประสงค์เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพื่อการปฏิรูปสงฆ์ให้ดีขึ้น ไม่ถูกบุคคล ไม่ถูกเวลา ไม่ถูกสถานที่ อ้างมาเพื่อจะล้มสงฆ์ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานไม่มีความจริงใจ เงื่อนไข 5 ข้อตรึงเกินไปไม่พอดี เพราะฉะนั้นพระเทวทัตจึงเป็นคนดีที่โลกไม่ต้องการ

ถ้าใครทำความดีแล้วโลกไม่ต้องการ  ก็เอาหลัก 3 ข้อไปพิจารณาดูว่าเราทำดีแล้ว ถูกดี   ถึงดี   พอดี หรือไม่

 

 

#ฝันในฝัน   #โรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน   #โรงเรียนฝันในฝัน  #กฏแห่งกรรม #ธรรมะ #แสดงธรรม #นักเรียนอนุบาล

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2561   พระครูสังฆรักษ์อน...