วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561


ตอน 1

โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
พระมหาคองเขน สิริจนฺโท
แสดงธรรมเรื่อง สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็น
ห้อง SPD 4 สภาฯ
***************************

                          ขอความเจริญรุ่งเรืองในธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงบังเกิดมีแก่นักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทั่วโลกทุกท่าน เจริญพรพวกเราทุกท่าน

                            วันนี้มาเจอกันในวันพระขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 หลัง ในปีนี้เขาเรียกว่าเป็นอธิกมาส เพิ่มเดือน 8 มาอีกเดือนหนึ่ง เขาเรียกกันว่าเดือน 8 สองหน แสดงว่าอีก 1 อาทิตย์ เราก็จะเข้าพรรษากันแล้ว

                                ก่อนจะเข้าพรรษาก็เป็นวันอาสาฬหบูชา ที่เราจะต้องสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรไปให้ถึงเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้ที่ 600 ล้านจบ บุญเยอะขึ้นนะ สวดไป สวดไปก็จะถึง 1,000 ล้านกันแล้ว เป็นวาระครบรอบ 2 ปีของเรา เก่งนะ 2 ปีไปได้ถึง 600 ล้านจบ แหม ถ้าได้เป็นทรัพย์สมบัติเราจะสนุกกันใหญ่ นี่ก็เป็นบุญบันเทิงกัน ในวันอาสาฬหบูชาก็จะครบรอบ 2 ปีในวันที่ 27 นี้นะ วันที่ 28 กรกฎาคม เราก็เข้าพรรษากัน

                    วันนี้เรื่องราวของพระกับมารยังไม่จบ แต่ขอพักเอาไว้ก่อน เพราะว่าสถานการณ์พระพุทธศาสนาในยุคนี้ หลายๆ คนก็เป็นห่วงเป็นใยและสอบถามกันมามากมายว่าพระพุทธศาสนาในยุคเรามันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะเป็นอย่างไร เราจะแก้ไขกันอย่างไร สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็น มันคืออะไร ก็เลยนำเรื่องที่ตั้งหัวข้อว่า “สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็น”

                        ที่ตั้งหัวข้ออย่างนี้ เพราะว่าแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น แต่ละอย่างที่เป็นไปนั้น ถ้าเรารู้ เข้าใจ ทุกอย่างมันมีเบื้องหลังหมด ถ้าในแง่ของฝ่ายหยาบก็จะมีเบื้องหลังของเขา แต่ถ้าเป็นแง่ฝ่ายละเอียด หลวงปู่วัดปากน้ำท่านก็จะบอกว่า ฉากหลังในฉากหลัง ก็จะมีเรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องอะไรที่อยู่ในฉากหลังกันต่อไป แต่ก่อนที่เราจะเข้าเนื้อเรื่อง เรามาดูภาพก่อนว่า สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็นในความคิดของเรามันตรงกันไหม (คลิป...การสร้างฉากประกอบในการถ่ายทำภาพยนตร์จีน)

                          สมัยเราเป็นเด็กโดนหนังจีนหลอกมาตลอดเลย คิดว่าจะหามกันไป เดินกันไป ที่ไหนได้ เขานั่งอยู่กับที่ ส่วนไอ้ที่เคลื่อนไปคือต้นไม้ มีคนถือเดินไป ขาลากกันเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเห็นกับสิ่งที่เป็นไม่ตรงกัน เพียงแต่ว่าเขาอยากให้เราเห็นภาพใด เขาจะนำเสนอภาพใด

                        ที่พูดเช่นนี้เพราะอยากให้เราศึกษาเรียนรู้ ดูว่าสถานการณ์พระพุทธศาสนาที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยของเรา และอยากให้วิเคราะห์ดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เขากำลังนำเสนอภาพอะไร เราในฐานะที่เป็นชาวพุทธ เราจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร ตรงนี้ให้เรามาศึกษากัน

                      ในเรื่องนี้ จะยกตัวอย่างเท้าความไป ที่จริงมันเป็นเรื่องที่ยาวมาก พยายามจะตัดทอนให้เหลือน้อยที่สุด รายละเอียดปลีกย่อยอาจจะไม่ได้เท่าไหร่ แต่ให้พวกเราได้เห็นภาพรวมเท่านั้นเอง

                             ตั้งแต่ยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา หลังจากที่เสด็จออกบวชแล้ว  กิตติศัพท์อันดีงามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แผ่ขยายออกไป ประชาชนและนักบวชในยุคนั้น ๆ โดยเฉพาะที่เป็นลูกชายของตระกูลกษัตริย์ต่าง ๆ ก็พากันออกบวชตาม แต่ว่าศากยวงศ์ของพระพุทธเจ้ายังไม่มีกษัตริย์ หรือราชโอรสทั้งหลายออกบวชตามพระองค์เลย ประชาชนก็พากันซุบซิบนินทากันว่า ตระกูลอื่นออกบวชตาม ทำไมตระกูลพระพุทธเจ้าไม่ออกบวชตามบ้างล่ะ กลายเป็นแรงกดดันทำให้โอรสในตระกูลศากวงศ์พากันออกบวชตามพระพุทธเจ้า พร้อมกับนายภูษามาลารวมเป็น 7 ท่าน แต่จะกล่าวถึงเฉพาะโอรส 6 ท่านนี้

                        ในบรรดาศากยภิกษุ 6 รูปนั้น มีพระภัททิยะเป็นอรหันต์เตวิชโช คือเป็นพระอรหันต์ และมีวิชชา 3 คือพระอรหันต์มี 2 แบบใหญ่ ๆ แบบ 1. เป็นพระอรหันต์ที่หมดกิเลสแต่ท่านไม่นิยมมีฤทธิ์ เรียกว่า สุกขวิปัสสกะ ถ้าแปลให้เข้าใจง่ายก็เรียกว่า แบบแห้ง ๆ เหมือนก๋วยเตี๋ยวแห้งประมาณนั้น คือชอบแบบบรรลุโดยไม่มีอะไรผสม แต่บางองค์ บางท่าน เขาเรียกว่า เตวิชชะ คือบรรลุแล้วมีฤทธิ์ พระอรหันต์จะมี 2 ส่วนลักษณะหลัก ๆ และมีชลภิญโญอีกด้วย เข้าใจง่าย ๆ คือบรรลุแล้วมีฤทธิ์กับบรรลุแล้วไม่มีฤทธิ์

                         บรรดาศากยภิกษุ 6 รูป พระอนุรุทธะเป็นผู้มีจักษุเป็นทิพย์ ภายหลังทรงสดับมหาปุริสวิตักกสูตรได้บรรลุพระอรหันต์ พระอานนท์ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระภัคคุเถระและพระกิมพิลเถระ ภายหลังเจริญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหันต์ และพระเทวทัตได้บรรลุฤทธิ์อันเป็นปุถุชน

                      ภิกษุทั้ง 6 รูปนี้ พระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์ บวชให้ทั้งหมด แล้วได้คุณวิเศษกัน ในยุคแรก ๆ ตั้งใจปฏิบัติกัน แต่ด้วยบารมีที่แตกต่างกัน ก็เลยได้บรรลุแตกต่างกัน และแม้พระเทวทัตเองก็ได้บรรลุฤทธิ์อันเป็นของปุถุชน ก็คือยังไม่ได้เป็นถึงพระอริยเจ้า ไม่ถึงขั้นเป็นพระโสดาบัน ถ้าเทียบกับคำสอนที่หลวงปู่สอนเราก็อยู่ระดับโคตรภูประมาณนั้น

                       ในกาลต่อมา เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในเมืองโกสัมพี ลาภสักการะเกิดเป็นอันมากแด่พระตถาคตพร้อมพระสงฆ์สาวก มนุษย์ทั้งหลายในกรุงโกสัมพีนั้นมีมือถือผ้าและเภสัช เป็นต้น เข้าไปสู่วิหาร แล้วถามกันว่าพระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน

                         คือประชาชนตอนนั้นเกิดความเลื่อมใส กิตติศัพท์อันดีงามของพระพุทธศาสนาขจรขจายไป ประชาชนก็พากันศรัทธาเลื่อมใส เวลาเข้าไปวัดก็อยากจะเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ไปถวายพระพุทธเจ้าหรือพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา ถามหาพระสารีบุตรอยู่ที่ไหน พระโมคคัลลานะอยู่ที่ไหน พระมหากัสสปะ พระภัททิยะ พระอนุรุทธะ พระอานนท์ พระภัคคุอยู่ที่ไหน คนถามถึงแต่พระรูปอื่น แต่ไม่มีใครถามถึงพระเทวทัตเลย ตอนนั้นบวชใหม่ ๆ

                     ญาติโยมพากันเที่ยวตรวจดูที่นั่งแห่งอสีติสาวก ชื่อว่าผู้ถามว่า พระเทวทัตนั่งหรือยืนอยู่ที่ไหนดังนี้ ย่อมไม่มี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พระเทวทัตอาจจะไม่โดดเด่น ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครถามถึง

                          พระเทวทัตตอนแรกก็ตั้งใจปฏิบัติ แต่พอมาเจออย่างนี้เข้า ว่าทิฐิที่ติดมาจากความเป็นฆราวาส ตอนที่อยู่ในหมู่เชื้อพระวงศ์กษัตริย์อยู่ ทิฐิก็เกิดขึ้นมาในใจ ถึงบวชแล้วแต่ยังไม่ลืมสภาวะนั้น พระเทวทัตก็คิดว่า เราก็เป็นเชื้อสายกษัตริย์ เราบวชพร้อมศากวงศ์เหล่านี้เหมือนกัน แม้ศากวงศ์ก็เป็นขัตติยบรรพชิต เราก็เป็นเชื้อสายกษัตริย์ พวกมนุษย์มีมือถือลาภสักการะ แสวงหาท่านเหล่านี้อยู่ ผู้เอ่ยชื่อถึงเราบ้างมิได้มี ก็คิดเลยว่า ทำไมไม่มีใครถามถึงเราบ้าง เรียกว่าในใจลึก ๆ ก็เหมือนเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ เราจะสมคบกับใครหนอแล เพื่อยังใครให้เลื่อมใส และยังลาภสักการะให้เกิดขึ้นแก่เราบ้าง นี่ทีแรกก็ตั้งใจปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผลนิพพาน แต่พอความรู้สึกนี้เข้ามา เป้าหมายการบวชเปลี่ยน

                        ดังนั้นเวลาเราได้ยินนักบวช หรือภิกษุสามเณรที่ท่านมาบวช และลาสิกขาไป แล้วมาบอกว่าบวชแล้วไม่ได้อะไร เราต้องไปเตือนสติท่านนะ อันนี้ถือเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง เพราะตอนที่จะบวช เจตนาของทุกคนบอกจะบวชเพื่อเอาบุญ นี่คุณบวช คุณก็ได้บุญไปแล้ว ที่คุณบอกว่าบวชแล้วไม่ได้อะไร นั่นไม่ใช่แล้ว แสดงว่าไม่เข้าใจเจตนาของการบวช

                         บวชอย่างแรก บวชเพื่อเอาบุญ เพื่อขัดเกลาตัวเอง เพื่อเอาบุญให้พ่อกับแม่ แต่พอบวชแล้วบอกไม่ได้อะไร นี่แสดงว่าไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการบวช

                       หรือแม้แต่ท่านที่เป็นนักบวชอยู่ ถ้าพูดคำนี้นี่ เราในฐานะที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา ต้องเตือนสติท่าน ไม่เช่นนั้นท่านจะหลงประเด็นของการบวช เพราะเจตนาของการบวชของท่านนั้น ต้องการไปทำพระนิพพานให้แจ้ง ไปสู่มรรคผลนิพพาน

                         เมื่อพระเทวทัตรู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย ก็เกิดความน้อยใจลึกๆ คิดหาหนทางทำยังไงถึงจะให้มีชื่อเสียง คนรู้จักเรา นี่เป้าหมายการบวชเริ่มเปลี่ยน อยากจะมีชื่อเสียง อยากมีลาภสักการะ

                              ทีนั้นความตกลงใจที่มีแก่เธอว่า พระเจ้าพิมพิสารนี้พร้อมกับบริวาร 11 นหุต ทรงดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว นี่พระเทวทัตมองเลยว่าการที่จะทำให้คนรู้จัก ตนจะต้องสร้างอำนาจ สร้างฐานอำนาจ คือจะต้องไปหาผู้มีอำนาจ ผู้มีอำนาจในยุคนั้นเป็นการปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช กษัตริย์เป็นใหญ่ ก็มองหากษัตริย์ในยุคนั้นใครเป็นใหญ่บ้าง ก็มีไม่กี่แคว้นที่ใหญ่ ๆ ก็มีพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล

                             ทีนี้พระเจ้าพิมพิสารได้บรรลุเป็นโสดาบันแล้ว พระเทวทัตเองก็รู้อยู่ว่าพระโสดาบันจะไปหลอกไม่ได้ด้วยการเห็นครั้งแรกนั่นเอง เราไม่อาจจะสมคบกับพระราชานั้นได้ แม้กับพระเจ้าปเสนทิโกศลเราก็ไม่สามารถสบคบได้ แม้พระองค์จะยังไม่บรรลุก็ตาม เพราะพระองค์มีพระมเหสีคือพระนางมัลลิกา ซึ่งเป็นผู้เฉลียวฉลาด คอยให้คำปรึกษาอย่างดี และเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้พระเจ้าปเสนทิโกศลกับศากยวงศ์ก็มีการคานอำนาจกันอยู่ พระเทวทัตคิดว่าจะไปคบด้วยไม่ได้แน่

                           ก็มองไปเห็นว่าอชาตศัตรูกุมาร พระโอรสของพระราชานี้แล ยังไม่รู้คุณและรู้โทษของใคร ๆ เราจักสมคบกับกุมารนั่น พระเทวทัตได้ออกจากกรุงโกสัมพีไปสู่กรุงราชคฤห์ เนรมิตเพศเป็นกุมารน้อย พันอสรพิษ 4 ตัวที่มือและเท้าทั้ง 4 ตัวหนึ่งที่คอ ตัวหนึ่งเป็นเทริดบนศีรษะ ตัวหนึ่งทำเฉวียงบ่าลงจากอากาศด้วยสังวาลงูนี้ นั่งบนพระเพลาของอชาตศัตรูกุมาร ก็เนรมิตลงไปนั่งที่ตักเลย  

                             เมื่ออชาตศัตรูกุมารทรงกลัว แล้วตรัสว่าท่านเป็นใคร ก็ตอบว่า อาตมาคือพระเทวทัต เพื่อจะบรรเทาความกลัวอชาตศัตรูกุมาร จึงกลับอัตภาพนั้นเป็นภิกษุทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร ยืนอยู่เบื้องหน้า ยังอชาตศัตรูกุมารนั้นให้ทรงเลื่อมใส ยังลาภสักการะให้เกิดแล้ว ด้วยความที่อชาตศัตรูกุมารยังเยาว์วัยอายุประมาณ 15-16 ปี เห็นอานุภาพปาฏิหาริย์ขนาดนี้ ก็เกิดศรัทธา เพราะเห็นการแสดงด้วยฤทธิ์จะจะ ไม่ใช่มายากล เป็นการแสดงด้วยฤทธิ์จริงๆ

                            เมื่อเป้าหมายการแสดงฤทธิ์นั้นเพื่อแลกกับลาภสักการะ พอแสดงเสร็จ ใจก็หยาบ ไม่สามารถแสดงฤทธิ์นั้นได้อีก ฤทธิ์หายหมดเลย เพราะไม่ได้เป็นพระอริยะ เป็นเพียงปุถุชนแต่สามารถทำฤทธิ์ได้เพราะสมาธิถึงระดับหนึ่ง แต่อชาตศัตรูกุมารประทับใจ จำภาพนั้นไปแล้ว คิดว่านี่แหละคืออาจารย์ของเรา

                            ถึงบอกว่าเขานำเสนอภาพเพื่ออะไร อันนี้ชัดเจนว่าเบื้องหลังพระเทวทัตต้องการชื่อเสียง ลาภสักการะ แสดงครั้งนี้เพื่ออย่างนั้น มีวัตถุประสงค์ชัดเจน

                             ครั้งนั้นอชาตศัตรูกุมารเลื่อมใสยิ่งนัก ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์นี้ของพระเทวทัต ได้ไปสู่ที่บำรุงทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้าด้วยรถ 500 คัน และนำภัตตาหาร 500 สำรับไปด้วย ไปถึงก็เอาอาหารอย่างดีถวาย ดูแลอย่างดี เพราะศรัทธาไปแล้ว

                          ครั้งนั้นพระเทวทัตอันลาภสักการะและความสรรเสริญครอบงำ รึงรัดจิตและเกิดความปรารถนาเห็นปานนี้ว่า เราจะปกครองภิกษุสงฆ์ ดูสิ เป้าหมายแรกบวชเพื่อกำจัดอาสวะกิเลส ตั้งใจปฏิบัติจนได้ฤทธิ์ พอเป้าหมายเปลี่ยน ต้องการลาภสักการะ ต้องการชื่อเสียง ฤทธิ์หาย พอมีผู้มีอำนาจมาโอบอุ้ม ก็คิดใหญ่เข้าไปอีก อยากปกครองสงฆ์เอง มันพัฒนาไปถึงขนาดนี้เลยนะ

                               พอคิดอยากปกครองสงฆ์ ได้เสื่อมจากฤทธิ์นั้นพร้อมกับปิตุบาต เพราะคิดอยากเป็นใหญ่ ถ้าปัจจุบันก็คิดยึดอำนาจระบบสงฆ์ เขาคิดอย่างนั้นเลย

                             พอพระเทวทัตคิดอย่างนั้น บาปก็เข้าไปแทรกจิตปุ๊บมืดเลย ฤทธิ์ที่เคยมีก็หายไป พอคิดจะปกครองสงฆ์ก็มีผู้ไปรายงานพระพุทธเจ้า

                             พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไวยากรณ์บาลี ตรัสคาถาประพันธ์ดังต่อไปนี้ ปรารภให้พระภิกษุทั้งหลายได้ฟังว่า
ผลกล้วยย่อมฆ่าต้นกล้วย คือต้นกล้วยออกลูกเสร็จแล้ว มันก็ตาย
ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่ สุดท้ายเมื่อต้นไผ่ออกขุย เป็นลูกของไผ่ ใครที่ปลูกไผ่ก็ไปสังเกตเอานะ ไม่รู้กี่ปีจะถึงจุดนั้น คือถ้ามันออกขุยหรือเมล็ด ต้นแม่จะตาย
ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ

                                 ลาภสักการะย่อมฆ่าคนชั่ว เหมือนม้าอัสดรซึ่งเกิดในครรภ์ ย่อมฆ่าแม่ม้าอัสดรฉันนั้น คือม้าอัสดร เป็นม้าอาชาไนย เป็นม้าพิเศษก็จริง เมื่อม้าอัสดรเกิดจากท้องแม่ แม่ม้าจะคลอดลูกได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น คลอดเสร็จแม่ก็ต้องตาย

                              พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบให้เห็นว่า เพราะลาภสักการะทำให้คิดอยากจะเป็นใหญ่ คิดอยากจะมีลาภสักการะ ครอบงำจิตพระเทวทัตจนกระทั่งเบี่ยงเบนวัตถุประสงค์ของการบวช

                             ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม แล้วประทับนั่งแสดงธรรมแก่บริษัทพร้อมทั้งพระราชา ครั้งนั้นพระเทวทัตลุกจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูล โอ้ กล้ามากเลยนะ ขอกันจะจะต่อหน้าในท่ามกลางสงฆ์เลย

                              พระเทวทัตกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชราแล้ว เป็นผู้เฒ่าแก่หง่อมแล้ว ล่วงกาลผ่านวัยไปแล้ว บัดนี้ขอพระองค์จงทรงขวนขวายน้อย ประกอบทิฏฐธรรมสุขวิหารอยู่เถิด ขอจงมอบภิกษุสงฆ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจักปกครองภิกษุสงฆ์ โอ้ ขอกันอย่างนี้เลยนะ นี่ขอกันซึ่งๆ หน้า ไม่ต้องออกกฎหมายมา คือเอากันจะจะ ขอกันเลย

                          พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนเทวทัต แม้แต่สารีบุตรและโมคคัลลานะ เรายังไม่มอบภิกษุสงฆ์ให้ ไฉนจะพึงมอบให้เธอผู้เช่นซากศพ ผู้บริโภคปัจจัยเช่นก้อนเขฬะเล่า คือพระองค์ตรัสเตือนสติเลยว่า ผู้มีความรู้ความสามารถ มีสติปัญญา เฉกเช่นอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา คือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเรายังไม่มอบให้บริหารสงฆ์เลย

                            แล้วนี่เป็นใคร เป็นฆราวาสจะมาบริหารสงฆ์ มันก็น่าคิดนะ นี่ขนาดเป็นพระมาขอ พระพุทธองค์ยังบอกว่าเป็นเหมือนกับซากศพ ยังไม่พอนะ เป็นซากศพที่กินน้ำลายเป็นอาหาร นี่แปลออกมาเป็นภาษาไทยนะ ก้อนเขฬะ เปรียบเทียบแล้ว พูดง่ายๆ ว่าไม่มีคุณค่าอะไรเลย พูดง่ายๆ คือเน่าทั้งนอก เน่าทั้งใน

                                  ทีนั้นพระเทวทัตคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรุกรานเรากลางบริษัท พร้อมด้วยพระราชา ด้วยวาทะว่าบริโภคปัจจัยดุจก้อนเขฬะ ทรงยกย่องแต่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ

                                พระเทวทัตฟังแล้วแทนที่จะได้คิดนะน้อยใจต่อไปอีก ไม่เห็นคุณค่าของเราดูซิ ขนาดเราเป็นศากยวงศ์ออกมาบวชตามแล้ว ยังไปเห็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เห็นคนในตระกูลพราหมณ์ดีกว่าเราอีก ดังนี้จึงโกรธ น้อยใจ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณแล้วกลับไป

                                ถึงบอกว่าความน้อยใจนี่เป็นเรื่องที่สำคัญ อย่าให้มันมีในหมู่คณะ เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ โอ๊ย เราไม่ใช่เจ้าภาพใหญ่ ไม่ดูแลเรา เราไม่ได้นั่งหน้า คนอย่างนี้ก็มีนะ คนบางพวกแม้เข้าวัดแล้ว อย่างที่หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่เคยบอก ลูกเอ๊ย ถ้านั่งหน้าเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวได้หมดก็ดีนะลูก แต่นี่มันต้องนั่งต่อ ๆ กัน เป็นอันดับ 1, 2, 3 นั่งตรงไหนก็นั่งไปเถอะ ขอให้เราได้สร้างบุญสร้างบารมี อย่าไปอะไรคิดมาก

                                อาการน้อยเนื้อต่ำใจ หลวงพ่อถึงบอกพวกเราว่า ถ้ามีปุ๊บ รีบสั่งทิ้งเลย อย่าให้มันมีนะ เพราะพอมันเกาะในใจแล้ว ใจจะค่อยๆ จับผิดแล้ว พอน้อยใจปุ๊บทุกอย่างเริ่มไม่ดีหมดเลย เริ่มมองว่าหมู่คณะไม่ดี เรียกว่าใจเราทำร้ายเราเอง ระมัดระวังอย่าให้มีความน้อยเนื้อต่ำใจ เป็นเรื่องที่สำคัญ

                                  นี่พระเทวทัตน้อยใจ โกรธพระพุทธเจ้า ออกไปเลย ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาครับสั่งพระภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์จงลงปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์แก่เทวทัตว่า ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอย่างนั้น พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง  

                                   คือพระพุทธเจ้าเห็นแล้วว่า จุดอันตรายเกิดขึ้น คือถ้ามีความคิดแนวนี้ ท่านบอกสมัยก่อนไม่มี แต่ตอนนี้มีแนวคิดอย่างนี้เข้า พูดง่าย ๆ ว่าเป็นศิษย์คิดล้มล้างครู ถ้าสามารถรวบรวมคนได้ จะเกิดเหตุเภทภัยต่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ พระองค์ก็เลยให้ภิกษุลงปกาสนียกรรม เป็นการประกาศไปว่า สิ่งที่พระเทวทัตทำ ต่อแต่นี้ไปไม่ได้เกี่ยวข้องกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ไม่ว่าการจะทำดี ทำชั่วอะไรก็ตาม จะเกิดความเสียหายอย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นส่วนตัวของเทวทัตเท่านั้น ก็ลงประกาศไปอย่างนั้นเลย

                                  นี่เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ยังไม่พอนะ ยังไม่หยุดแค่นั้น ครั้งนั้นพระเทวทัตได้เข้าไปหาอชาตศัตรูกุมารกล่าวว่า ดูก่อนกุมาร เมื่อก่อนคนทั้งหลายมีอายุยืน ไปหลอกอชาตศัตรูกุมารว่า รู้ไหม สมัยก่อนคนอายุยืนมากเลยนะ เดี๋ยวนี้มีอายุสั้น การที่ท่านจะพึงตายเสียเมื่อยังเป็นเด็ก สมัยก่อนอายุเป็นหมื่นปี สองหมื่นปี เดี๋ยวนี้คนอายุน้อยเหลือเกิน ไม่แน่ว่าท่านอาจจะตายก่อนได้ขึ้นครองราชย์ นั่นเป็นฐานะอาจจะมีได้ ดูก่อนกุมารท่านจงปลงพระชนม์พระชนกเสีย แล้วเป็นพระเจ้าแผ่นดิน อาตมาจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเป็นพระพุทธเจ้า

                                ดูสิ เดิมคิดแค่อยากได้ลาภสักการะ ชื่อเสียง ขยับขึ้นมาอยากปกครองสงฆ์ นี่คิดจะฆ่าพระพุทธเจ้า คิดฆ่าพ่อทางธรรมเลยนะ บวชให้ สอนธรรมะให้

                                  ดังนั้นไม่ต้องหวังว่าในหมู่คณะเราจะเป็นคนดีกันทั้งหมด คนที่คิดทำลายปนอยู่ก็ย่อมมี มีคนถามมานะ ไอ้คนนี้มันเคยบวชที่วัดนี้ แล้วทำไมมันจะมาทำร้ายหมู่คณะอย่างนั้นอย่างนี้ นี่ขนาดพระพุทธเจ้าบวชให้มันยังคิดอยากจะฆ่าเลยใช่ไหม ดังนั้นไอ้คนที่คิดอยากจะทำลายหมู่คณะก็ย่อมมี คือเราไม่สามารถทำให้คนเป็นสัมมาทิฐิได้ทั้งหมด เพราะมีบารมีต่างกัน

                                  พระพุทธศาสนาก็เปรียบเหมือนบ่อน้ำที่สะอาด ใครกระโดดลงมา แล้วขัดสีตัวเองได้แค่ไหน ก็ได้แค่นั้น ถ้าอาบน้ำแล้วไม่ชำระล้างขัดสีตัวเองก็สกปรกเหมือนเดิม ดังนั้นขนาดพระพุทธเจ้าบวชให้เป็น สอนธรรมะให้จนกระทั่งบรรลุฤทธิ์ขนาดนี้ มันยังคิดฆ่าพ่อ เพราะฉะนั้นบางคนที่ไป แล้วกลับมาลุยเรา ก็พรรค์เดียวกันนี้แหละ

                                   พระเทวทัตก็ไปหลอกอชาตศัตรูกุมาร บอกว่าคนสมัยก่อนอายุยืน แต่ตอนนี้คนอายุสั้น ไม่แน่ว่าท่านอาจจะตายตอนอายุยังน้อยนี้ก็ได้ ดังนั้นให้รีบฆ่าพ่อ ยึดอำนาจพ่อเสีย ซึ่งอชาตศัตรูกุมารก็ทำตาม วางแผนแอบพกกริช กริชก็คล้ายๆ มีด เข้าไปในท้องพระโรงเพื่อจะไปฆ่าพ่อจริงๆ แต่ข้าราชบริพารเห็นผิดสังเกต เห็นลุกลี้ลุกลนก็พากันจับ ค้นตัวดูก็พบอาวุธ พระเจ้าพิมพิสารก็ถามว่าลูกพกมีดมาทำไม ก็บอกอยากฆ่าพ่อ ฆ่าทำไม บอกอยากได้ราชสมบัติ พ่อบอกถ้าลูกอยากได้ ก็เอาไปเลย ประกาศยกราชสมบัติให้ลูกชายคืออชาตศัตรูกุมาร

                               พออชาตศัตรูกุมารได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ก็ไปรายงานพระเทวทัต พระเทวทัตหลอกต่อไปอีกว่า เราจะเชื่อได้อย่างไร เพราะคนทั้งหลาย ข้าราชบริพารทั้งหลาย ยังพากันยกย่องสรรเสริญพระเจ้าพิมพิสาร คนทั้งหลายยังอยู่ในอำนาจของพระราชบิดาท่าน ท่านยังไม่มีฐานอำนาจอะไร ข้าราชบริพารไม่ได้ศรัทธาเลื่อมใส พ่อยกให้ก็จริง หากอยู่ๆ พระราชบิดาประกาศยึดอำนาจคืนจะทำอย่างไรล่ะ ดังนั้นยังไงต้องจัดการ

                           พระเจ้าอชาตศัตรูก็เลยเอาพ่อไปขังในคุก กะว่าขังไว้ให้อดอาหารตาย แต่พระเทวทัตอยากให้ฆ่าเลย อยากให้ประหารชีวิตเลย แต่พระเจ้าอชาตศัตรูคิดว่าพ่อเราเป็นถึงกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าลงมือฆ่าอย่างนั้น เกรงว่าประชาชนจะลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน ก็เลยให้เอาพ่อไปขังในคุกให้ตายเอง ให้อดอาหารตายไปเอง

                               ทีนี้พระมารดาคือพระนางเวเทหิได้ไปเยี่ยมในคุก ได้แอบเอาเนยใสทาตัวไปให้ จนกระทั่งพระเจ้าอชาตศัตรูสงสัยทำไมพระเจ้าพิมพิสารไม่ตายสักที สังเกตเห็นพระมารดาแอบเอาอาหารไปให้พระเจ้าพิมพิสาร ก็เลยสั่งห้ามพระมารดาไม่ให้เข้าเยี่ยมพระเจ้าพิมพิสารในคุก และให้ข้าราชบริพารคอยตามดูอยู่ว่า พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพ่อนั้นเป็นยังไงบ้าง

                             พระเจ้าพิมพิสารแม้ไม่ได้อาหาร แต่อยู่ด้วยกำลังของสมาธิ เดินจงกรมทำสมาธิ พอรู้ว่าอยู่ได้ด้วยการเดินจงกรมทำสมาธิ เออ สมาธินี่ดีนะ ขนาดเขาติดอยู่ในถ้ำก็ไม่ตายนะ ทำสมาธิเอา แต่พวกเราไม่ต้องไปลองนะ หรือหากจะลองก็ลองที่บ้านนั่นแหละ ปิดประตูอะไรอย่างนั้น ออกมาผอม หัวโตเลยนะ

                             พอรู้ว่าพ่ออยู่ด้วยอำนาจกำลังสมาธิ เดินจงกรม ก็สั่งให้นายช่างกัลบก คือช่างโกนผม โกนหนวด ให้มากรีดฝ่าเท้าพ่อถึงในคุก ทีแรกพระเจ้าพิมพิสารดีใจนึกว่าลูกสำนึกได้แล้ว ส่งช่างมาโกนผมโกนหนวดให้ แต่ที่ไหนได้ ช่างกัลบกก็ต้องทำตามคำสั่ง ได้ใช้มีดโกนกรีดที่ฝ่าเท้า แล้วใช้น้ำเกลือทาลงไป ยังไม่พอ ให้ใช้ถ่านรมเข้าไปอีก ทุกข์ทรมานมาก จนกระทั่งพระเจ้าพิมพิสารไม่สามารถเดินจงกรมได้

                                ทำไมผลกรรมแรงถึงขนาดนั้นทั้งที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านบอกไว้ว่า ในกาลก่อนพระราชาพิมพิสารได้ทรงฉลองพระบาทเข้าไปในลานพระเจดีย์ และเอาพระบาทที่ไม่ได้ชำระ คือใส่รองเท้าเปื้อนเดินเหยียบย่ำไปในลานพระเจดีย์ ยังไม่พอ เดินเหยียบเสื่อกกที่เขาปูไว้สำหรับให้พระสงฆ์นั่ง นี้เป็นผลของบาปนั้น ดังนั้นกรรมแต่ละอย่างล้วนส่งผลทั้งนั้นเลย สมัยนั้นท่านคงเป็นเจ้าใหญ่นายโต นี่ใส่เข้าไปในลานพระเจดีย์ แล้วไปเหยียบเสื่อที่เขาปูสำหรับให้พระสงฆ์นั่งนะ บางพวกใส่เข้าไปในโบสถ์เลยนะ โอ้ อันนี้ก็ตัวใครตัวมันเลย นี่พระราชาพิมพิสารแค่ใส่รองเท้าเหยียบเข้าลานเจดีย์ยังโดนกรีดฝ่าเท้า ไอ้คนนั้นไม่โดนตัดเท้ากุดเลยหรือ

                           พระเจ้าพิมพิสารทรงเกิดทุกขเวทนาอย่างรุนแรง ทรงรำลึกอยู่ว่า อโห พุทฺโธ นี่เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ ทุกขเวทนาขนาดไหนก็ไม่ทิ้งธรรมะ ไม่ทิ้งพระรัตนตรัย เพราะฉะนั้นเราอย่าไปทิ้งพระรัตนตรัยนะ ใครว่าหมอเสน่ห์เล่ห์กล เจ้าเข้าทรง ผีสิงที่ไหนดี หากมีใครชวนไป เราต้องมีจุดยึดให้มั่นนะ ไม่อย่างนั้นเราหลงประเด็น ทิ้งพระรัตนตรัย กว่าเราจะได้กลับมามันยาก มันเป็นทิฐิติดตัวเราไปเลย สุดท้ายบางคนกลายเป็นมิจฉาทิฐิ แล้วมันกลับมายากมาก

                                อโห พุทฺโธ อโห ธมฺโม อโห สงฺโฆ เท่านั้น ทรงเหี่ยวแห้งไปเหมือนพวงดอกไม้ที่เขาวางไว้ในลานพระเจดีย์ บังเกิดเป็นยักษ์ชื่อชนวสภะ ผู้รับใช้ของท้าวเวสสุวรรณในเทวโลกชั้นจาตุมหาราช ก็ค่อยๆ เสียชีวิตไป แล้วไปเกิดเป็นยักษ์ เพราะท่านคุ้นเคยกับภพนั้น เกิดมาหลายชาติ ทั้งๆ ที่มีโอกาสไปเกิดสวรรค์ชั้นสูง แต่เลือกไปเกิดในชั้นจาตุมหาราชิกาเพราะความคุ้นเคย  

                           เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูฆ่าพ่อเสร็จแล้ว ก็มีคนมารายงานว่า มเหสีของท่านได้คลอดลูกชายแล้ว ลูกชายเกิดแล้ว ก็นึกรักลูกชายตนเอง แล้วก็มานึกถึงพ่อ ก็ไปถามแม่ว่าพ่อรักลูกไหม แม่ก็บอกว่า ตอนที่เจ้าเป็นเด็ก เกิดฝีที่นิ้วมือร้องห่มร้องไห้ ไม่มีใครสามารถทำให้เจ้าหายร้องไห้ได้ พี่เลี้ยงนางนมได้อุ้มผ่านมาทางท้องพระโรง ขณะที่พ่อของเจ้ากำลังว่าราชการอยู่ ต้องให้อุ้มเข้าไป พ่อใช้ปากดูดฝีที่มือของอชาตศัตรูกุมารออกให้ ตอนนั้นยังเป็นเด็ก คราวนี้เกิดความรักพ่อ จึงสั่งให้คนไปเปิด แต่เขามารายงานว่าตายแล้ว ก็เสียใจมาก ตรงนี้ก็เป็นจุดพลิกผันอย่างหนึ่ง ที่เริ่มเกิดความลังเลว่าสรุปแล้วเราเดินทางถูกหรือผิด

                          ก็มีคนสงสัยต่อไปว่า ที่พระเทวทัตสั่งฆ่าคนขนาดนี้ ทำไมพุทธเจ้าไม่จับสึก ปาราชิกแล้วหรือยัง แม้สั่งฆ่าขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่ปาราชิก เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก เหมือนองค์แห่งศีลข้อที่ 1 รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต มีจิตคิดจะฆ่า พยายามฆ่าสัตว์นั้นตาย เช่น ถอยรถเหยียบสัตว์ตาย ศีลไม่ขาด แต่ด่างพร้อย เพราะองค์แห่งศีลไม่ครบ ศีลก็ไม่ขาด

                           แม้แต่องค์ของปาราชิกข้อนี้ก็มีปลีกย่อยลงไป ยังไม่ขาด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็จับสึกไม่ได้ พระเทวทัตก็ยังเป็นพระอยู่ ไม่เหมือนคนยุคนี้เอะอะอะไรก็ปาราชิกมั่วไปหมดหมด ปรับกันเป็นเรื่องปกติ อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะปาราชิก โอ้ อะไรจะขนาดนั้น โยมทั้งนั้นเลยนะที่ปรับปาราชิกพระ งงเลย โดยเฉพาะพวกนักข่าวทั้งหลาย ไม่รู้เอาความรู้มาจากไหนเยอะแยะ แปลกไหม มันปรับปาราชิกรายวันเลย นี่มหาคองเขนเดินลงจากนี่ไป จะโดนอีกล่ะมั้ง

                            พระเทวทัตวางแผนขนาดนี้ก็ยังไม่ปาราชิกนะ มันมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก พระพุทธเจ้าไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรก็จะจับลูกฆ่า ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เพราะการจะได้บวชแต่ละครั้งมันยากมาก จะต้องมีพระพุทธศาสนา และพระพุทธเจ้ากว่าจะบังเกิดขึ้น ต้องสร้างบารมีอย่างน้อย 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป และที่สำคัญคือ กว่าจะมีศรัทธา กว่าจะได้เกิดเป็นผู้ชาย กว่าจะอายุ 20 โอ้ เป็นเรื่องที่ยากมาก และพอบวชแล้ว ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรก็จะให้ปาราชิก จับไปประหารชีวิตเลย อย่างนี้ก็ตายกันหมด

                             ดังนั้นยังมีรายละเอียดอีกมากมาย มีองค์ประกอบ และพระวินัยของพระพุทธเจ้าอะลุ่มอล่วยให้ลูกพออยู่ได้ ไม่ใช่ว่าเคร่งจนจะเอาเป็นเอาตายให้ได้ ถ้าเราไปดูพระวินัยหลาย ๆ ข้อ พระพุทธเจ้าใช้คำว่าอนุบัญญัติ คือบัญญัติตัวหลักมาแล้ว แต่พอปฏิบัติจริง มันเกิดความไม่สะดวกบางประการ พระองค์ก็ปรับให้อยู่ได้ เรียกว่าอนุบัญญัติ บางครั้งปรับถึง 7 ครั้งก็มี 2-3 ครั้งก็มี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2561   พระครูสังฆรักษ์อน...