โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
วันศุกร์ ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2561
พระอรรถชาติ อตฺชาโต แสดงธรรม
เรื่อง Peace Idol ตอนที่ 2
เรื่อง Peace Idol ตอนที่ 2
********************
วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญมากของชาวพุทธ ที่ผ่านมาเห็นคนมาวัดปฏิบัติธรรมจำนวนมาก แสดงว่าชาวพุทธยังเข้มแข็ง ยังรักประเพณีแล้วก็วัฒนธรรมชาวพุทธ
ต่างประเทศมีจัดพิธีกรรมตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม
ที่ได้ไปก่อตั้งในต่างประเทศ หรือว่าศูนย์สาขา ทุกที่ก็มีกิจกรรม เนื่องด้วยวันของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันหมดเลย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นต้นบุญต้นแบบ ทางด้านสันติภาพ หรือ Peace Idol พระองค์แรก คือพระองค์ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน วันเดียวกัน คือวันเพ็ญ full
moon พระจันทร์เต็มดวง ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และก่อนที่จะตรัสรู้ธรรม
ท่านก็ได้ทำใจหยุดนิ่ง ในศูนย์กลางกลายฐานที่ 7 เอกายนมรรค
บทเทศน์เก่า ๆ ที่เคยพูดไว้ ก็จะพูดถึงเรื่อง Center Of Body ท่านในจำได้ลองไปติดตามดู
การหา Center Of Body หรือศูนย์กลางกลายฐานที่ 7 หมายถึงอะไร
Center Of Body คือจุดที่สมดุลที่สุดในร่างกาย ถ้าเอาใจไปไว้ตรงนั้น
ใจก็จะสมดุล เมื่อใจสมดุลจึงจะสามารถหาเอกายนมรรค หรือทางเอกสายเดียวเจอ
ทำใจให้หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย แล้วก็เข้าไปในความรู้เส้นทางสายกลางนั้น
เป็นความรู้แจ้ง ที่เกิดจากการเห็นแจ้ง ยามต้นบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาน
มัชฌิมญานบรรลุจุตูปปาตญาน ปัจฉิมยามบรรลุอาสวักขยญาน
เรียกว่าพระองค์นั้นเป็นที่สุดของ Peace Idol
ขณะที่พระองค์กำลังทรงบำเพ็ญเพียรอยู่นั้น ก็มีพญามาร เสนามาร อะไรมากมาย มา
ต้องการจะขัดขวางให้พระองค์ ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ พระองค์ไม่ได้ใช้วิธีการรุนแรง
ไม่ได้ใช้วิธีการตอบโต้แต่อย่างใด ไม่เคยตอบโต้ด้วยความรุนแรง ไม่เคยบริภาสกับใคร หากมีเรื่องอะไรเข้ามา พระองค์ก็หยุดนิ่งเรื่อยไป หยุดเป็นตัวสำเร็จจริง
ๆ พระองค์ก็หยุดไป หยุดไป แล้วพระองค์ก็ชนะ โดยนึกถึงบารมี 10 ทัศที่พระองค์
ได้สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน เป็นต้นบุญต้นแบบทางด้านสันติภาพอย่างยิ่งเลย
ต่อจากนี้ไปไม่ว่าทุกท่าน
จะเจออะไรก็ตามที่เป็นเรื่องทำให้เรานั้นทุกข์ใจ มีอุปสรรคกับชีวิต
มีอะไรที่ไม่คาดคิด ไม่คาดฝันเข้ามาในชีวิต โปรดนึกถึงต้นบุญต้นแบบทางด้านสันติภาพ
พระองค์ทำแบบนี้ก็คือไม่สู้ ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป นึกถึงบารมี 10 ทัศ ที่พระองค์ทำ
ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา 10
ทัศ ไล่เรื่อยไป พิจารณาให้ถ่องแท้ว่าเราทำบารมีอะไรมาบ้าง
บารมีก็คือบุญที่มีคุณภาพสูง
ทำโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลย ไม่ได้ทำพอผ่าน ทำแบบสู้ไม่ถอย หมายถึงว่าทำความดีไม่ใช่ทำความไม่ดี
ถ้าทำความไม่ดีเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ก็เหมือนบางท่านในโลกใบนี้ ที่ทานเหล้า
สูบบุหรี่โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน นั่นเป็นด้านไม่ดี ด้านดีคือความดี 10 ทัศ
ที่บอกไปเมื่อกี้นี้ ทำอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ดังนั้นจึงทรงสร้างสันติภาพโลก
โดยเริ่มต้นจากสันติสุขภายใน World
Peace Through Inner Peace
มาศึกษาการกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกราบอย่างไร ยิ่งกราบ ยิ่งฉลาด ......??
กราบครั้งที่ 1 ต้องระลึกถึงพระปัญญาธิคุณ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระองค์ มีปัญญาเห็นแจ้ง มีความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง
เรียกว่าภาวนามยปัญญา ไม่ได้รู้แบบใช้สมองคิด รู้เพราะว่าหยุดแล้วสว่าง
สว่างแล้วเห็น เห็นแล้วเกิดวิปัสสนาญาณขึ้นมาตามลำดับ เข้าสู่กายธรรมโคตรภู
กายธรรมพระโสดา กายธรรมพระสกิทา อนาคา อรหัต
ละเอียดลึกซึ้งไปตามลำดับทั้งหยาบและละเอียด
จนกระทั่งสามารถที่จะมองเห็นโลกและชีวิตได้ ไม่มีอะไรปิดบังพระองค์ได้
กราบครั้งที่ 2
กราบพระบริสุทธิ์คุณ พระองค์บริสุทธิ์มากที่สุด ในบรรดามนุษย์สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้
ทั้งกาย วาจา ใจ พระองค์บริสุทธิ์ สิ่งไม่ดีไม่เคยออกจากกาย วาจา ใจ ของพระองค์เลย
มีแต่สิ่งดีงามคำพูดคำจา ไม่อย่างนั้นพระองค์ไม่สามารถได้ลักษณะมหาบุรุษ
และอนุพยัญชนะต่าง ๆ ได้ เช่น การมีดวงตาแบบนี้เพราะพระองค์ทำความดีแบบนี้
..มีผิวแบบนี้เพราะทำความดีแบบนี้ ..มีพระทนต์หรือฟัน
เรียงงามอย่างนี้เพราะทำความดีอย่างนี้ แล้วก็กลั่นธาตุ กลั่นธรรมจน กระทั่งสะอาด
บริสุทธิ์มาก สามารถเข้าไปอยู่ในอายตนะนิพพานได้ ต้องบริสุทธิ์
ถ้าไม่บริสุทธิ์ไปพระนิพพานไม่ได้ ดังนั้นกิเลสอาสวะ
ไม่มีสิทธิ์แตะต้องพระองค์เลย เป็นธาตุบริสุทธิ์ทั้งภายนอก ภายใน
เมื่อพระองค์ดับขันธ์แล้ว จึงมีพระบรมสารีริกธาตุ เป็นอนุสรณ์ให้เราได้กราบ ไหว้
กราบครั้งที่ 3 กราบพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์พอรู้แจ้งแล้ว พระองค์ไม่ได้หวงแหนไว้แต่เพียงผู้เดียว
อยากให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ไหน
ขอให้เป็นมนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิต กระทั่งมด ปลวก พระองค์อยากพาไปพระนิพพานให้
ไม่ได้เลือกชนชั้นวรรณะ สมัยนั้นอินเดียโบราณ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร มีวรรณะมากมาย
แต่พระองค์ไม่ได้เลือกเลย ต่อให้เป็นจัณฑาล ที่เกิดจากลูกที่เกิดจากพ่อแม่คนละวรรณะ
พระองค์ก็ปรารถนาจะให้บุคคลผู้นั้น ไปพระนิพพานตามพระองค์ให้ได้เช่นกัน
บุคคลที่หัวใจยิ่งใหญ่ขนาดนี้
เกิดมาจากใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสภายใน เกิดมาจากการหยุดนิ่ง ไม่เอาเรื่องใคร
มุ่งเข้าสู่ภายในอย่างเดียว นี่และ World Peace Through Inner Peace สันติภาพภายนอกของพระองค์สร้างตลอดชีวิต
45 พรรษา เกิดจากสันติสุขภายในของพระองค์ทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดมาจากการคิด
ไม่ได้เกิดมาจากการใช้นโยบายอะไรต่าง ๆ เกิดมาจากภายในทั้งสิ้นเลย
ถ้าจะตั้งหลักให้ตั้งหลักแบบนี้ การหาสันติภาพจะได้เจอของจริง ๆ World
Peace ที่แท้จริง เรามาบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ว่าจะบูชาด้วยอะไร ก็เหมาะควรทั้งสิ้นนะ
กรณีศึกษาที่อยากจะเอามาพูดคุยวันนี้
ก็คือของประเทศญี่ปุ่น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองฮิโรชิม่า นางาซากิ ปรมาณูลงที่เมืองนี้
ประมาณพ.ศ. 2488 หรือ 1945
มีระเบิดปรมาณู
มีหลายลูก ลูกแรกลงที่ฮิโรชิม่า ลูกต่อมานางาซากิ ในที่นี้จะพูดถึงฮิโรชิมาก็แล้วกัน
แรงของระเบิดไกลไปเป็นไมค์ ๆ เป็นกม. สิ่งที่โดนระเบิด ในรัศมีของระเบิดนั้น
ไปเรียบไม่เหลือ ทันทีประมาณ 8 หมื่น แล้วที่รัศมีกัมมันตภาพรังสีของนิวเคลียร์
ยังแผ่ขยายไปเป็นรูปดอกเห็ดใหญ่ ๆ แผ่ขยาย ๆ ออกไป ใครที่โดนก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น
เป็นมะเร็งผิวหนัง เป็นมะเร็งอะไรมากมาย ที่ผลพวงยังมีอีกของระเบิดปรมาณู 3-4 ลูก
รวมแล้วก็หลายแสนท่าน เป็นชีวิตมนุษย์ ชีวิตสัตว์ต่าง ๆ ยังไม่นับนะ
ผลพวงสงครามยังมีอีกมายมาย เด็กพร้า คนไร้ญาติ
คนขาดที่พัก เรียกว่าผลพวงนั้น เกินกว่าที่จะประมาณเป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจได้
ตัวเลขทางจิตใจไม่ต้องพูดถึง มันคือความทุกข์ที่มนุษย์สร้างให้กัน
มนุษย์เองนั้นปกติก็ทุกข์ด้วยตัวเองอยู่แล้วนะ ขนาดไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่นนะ
ตัวเราก็มีทุกข์ประจำตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปวดท้อง หิวข้าว กินอิ่มเกิน
อยากเข้าห้องสุขา ตัวร้อน อิ่มก็ปวด หิวก็ปวด ขับถ่ายอะไรต่าง ๆ ก็ทุกข์แล้ว
ทุกข์ประจำ
ทุกข์จรมาอีก พลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ประสบสิ่งอันไม่เป็นที่รัก เยอะแยะมากมาย ขนาดตัวเราก็กองทุกข์แล้ว
ยังไปเพิ่มกองทุกข์ให้กับผู้อื่นอีก อันนี้ถือว่าไม่ใช่วิธีสร้างสันติภาพ
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม ยินดีจ่ายค่าชดเชยในกิจกรรมของสงคราม
แล้วหันกลับมาฟื้นฟูประเทศคือเขาได้บทเรียนครั้งใหญ่ของประเทศเลยว่า
ครั้งนั้นดำเนินผิดพลาด
หลวงพี่ไม่สามารถบอกได้ว่า
ท่านใดเป็นผู้ผิดผู้ถูกในสงครามเพราะบอกยาก ทุกฝ่ายนั้นมีส่วนร่วมในสงครามทั้งหมด
แล้วก็ไม่มีใครได้อะไรจากสงครามเลย เมื่อญี่ปุ่นเป็นอย่างนั้นแล้ว
ก็เลยหันกลับมาฟื้นฟูประเทศ อันนี่น่าทึ่งมากว่า คุณภาพผู้คนของประเทศเขา
สามารถฟื้นฟูประเทศในเวลารวดเร็ว จากซากปรักหักพัง กลายมาเป็นประเทศใหม่เร็วมาก
แล้วเจริญล้ำหน้าประเทศแล้ว ณ ปัจจุบัน
เริ่มฟื้นฟูประเทศเมื่อพ.ศ. 2490 ผ่านมา 70
ปี ประเทศไทยตามหลังญี่ปุ่นหลายปี
เพราะเขาไม่สนใจเรื่องความรุนแรงอีกแล้ว ประเทศเขาแทบจะไม่เห็นเลย ตำรวจ ทหาร
ไม่เห็นเลย เห็นแต่ผู้คนดำเนินชีวิตแบบสุขสบาย มีความสุข มีสันติ สุขสบายตามอัตภาพของประชาชนคนหนึ่ง
ที่พึงจะได้รับอย่างเต็มที่
แล้วเขาก็พัฒนาประเทศให้ดียิ่ง
ๆ ขึ้นไป แล้วก็พัฒนาเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้ตระหนักถึงสงครามว่า
ไม่เคยสร้างสันติภาพได้เลย ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมจองเวร
คนแพ้ไม่มีหรอกว่าสักวันหนึ่ง ฉันแพ้ฉันจบไม่มี เขาสักวันเราจะต้องเอาคืนให้ได้ ดังนั้นไม่มีความสุข
ไม่มีชัยชนะหรอกปนซากปรักหักพังของสงคราม
มีการสร้าง Hiroshima Peace Memorial เพื่อเตือนใจคนรุ่นเก่า และปลูกฝังคนรุ่นใหม่ให้ตระหนักถึงภัยสงคราม
แสดงเป็นนิทรรศการ เป็นพิพิธภัณฑ์ ให้เราเห็นสงคราม โอ้ สงครามโหดร้ายขนาดนี้
คนตายแบบนี้เลยเหรอ สภาพบ้านเรือนเป็นอย่างนี้เลยเหรอ
เขาเก็บเอาข้อมูลประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มาไว้ แล้วก็จำลองสถานการณ์ว่า ถ้าเราไปอยู่หลุมหลบภัย
น่ากลัวขนาดหา เราลองไปดูซิว่า เสียงหวอมันดัง เราไปอยู่ในนั้นใจเราจะสั่นไหม
คนเข้าไปในนั้น นี่ขนาดเราไม่ได้อยู่ในสงคราม เรายังรู้สึกเลย
ถ้าในสงครามจริงจะทุกข์ทรมานขนาดไหน
มีปติมากรรมแม่อุ้มลูก เพื่อยอมรับระเบิดแทน
ระเบิดลง ปกติของมนุษย์รักชีวิต แต่อัธยาศัยความเป็นแม่ตายแทนลูกได้
ต่อให้ระเบิดแม่ก็ไม่กลัว อุ้มลูกไว้ เอาตัวเองเป็นเกราะกำบังให้ลูก รับระเบิดแทนลูก
แต่ก็เป็นที่น่ายินดีว่ามีสัญญาณสันติภาพ เมื่อท่านประธานาธิบดี บารัคโอบาม่า
ได้เยือน Hiroshima Peace Memorial ได้ไปเคารพสุสานที่เกิดเหตุ Hiroshima
ทั้ง 2 ประเทศนี้เมื่อ 70 ปีที่แล้วเป็นคู่สงครามกัน
ปัจจุบันนี้มาผูกมิตรไมตรีกัน มองย้อนไปแล้วท่านผู้นำทั้ง 2 ท่าน
ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ไม่รู้สึกว่า สงครามมีประโยชน์เลย จึงคิดตรงกันเราน่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้นะ
แม้จะมีความแตกต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ หรือทางด้านความคิด ความอ่าน
อุดมการณ์อะไรต่าง ๆ
แต่ละความเชื่อ แต่ละความคิด แต่ละอุดมการณ์
ควรจะสามารถมีที่ยืนของตัวเองแล้วอยู่อย่างสันติร่วมกันได้
นี่คือหลักการอุทาหรณ์ในอดีตบอกเรา เราจะดำเนินชีวิตเหมือนคนในอดีต ผิดใจกันก็ใช้กำลัง
ใช้ความรุนแรง แล้วสุดท้ายมันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย มีแต่ความเจ็บปวด ทุกข์
ทรมาน โศกเศร้า เสียใจ ร่ำพิไรรำพัน
ผู้ชนะก็ก่อเวรต่อไป
ผู้แพ้ก็จองเวรข้ามภพข้ามชาติ นี่แค่ชาติเดียวนะ
ถ้าเกิดเราไปศึกษาว่าข้ามภพชาติก่อเวร จองเวรกันยังไง มันจะยิ่งน่ากลัวไปใหญ่
มีชาดก มีธรรมบทหลายเรื่อง ที่พูดเอาไว้ มีการก่อเวร มีการจองเวร ระหว่างสัตว์ 2
ตัว ตอนแรกก็เป็นสัตว์ มากินลูกของคนนี้ มากินกันไป กินกันมา
สุดท้ายแค้นกันมาเกิดเป็นมนุษย์ ยังตามฆ่ากันอีก มาเกิดเป็นยักษิณีตามฆ่ากันอีก
ถ้าไม่ได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปทรงห้ามไว้
แล้วก็ตรัสถึงอดีตผู้จองเวรทั้ง 2 ท่านนี้ ก็จะไม่เลิกจองเวร เวรจะไม่ระงับ
เขาจองเวรกันต่อไปนับภพนับชาติไม่ถ้วน กลายเป็นห่วงโซ่แห่งการจองเวร
โดยไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อกี้ผู้นำ 2 ประเทศ ได้มาแสดงสัญลักษณ์คร่าว ๆ ว่า
ไม่มีการจองเวรแล้วนะ เรามาทำความดีร่วมกัน มาสร้างเศรษฐกิจ มาสร้างสังคม
มาสร้างประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง ให้ประชาชนมีสุขจะดีกว่า
มี peace clock คือนาฬิกาแห่งสันติภาพ ตั้งขึ้นที่เมืองนี้
นาฬิกานี้ไม่ได้บอกเวลาอย่างเดียว แต่บอกวัน เป็นจำนวนวันที่มีการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ครั้งล่าสุด
นี่ผ่านไป 262 วันแล้ว ยังไม่มีการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ต่อ มีบรรทัดนึ่งเป็นวันที่โดนอะตอมมิกบอม ที่ Hiroshima เมื่อเดือน 8 ปี 2488 ผ่านมาแล้ว 26,588 วัน
ทุกคนยังไม่ลืมและเป็นประสบการณ์ ที่จะใช้เป็นอุทาหรณ์ได้ตลอดไปว่า สงครามไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
เราจะต้องขยายวันเวลาที่มนุษย์นั้น ใช้ความรุนแรงออกไปให้นานที่สุด
เท่าที่จะนานได้ว่า เลิกใช้ความรุนแรงเถิด เลิกใช้อาวุธเถิด
ความจริงแล้วถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีการคิดว่าแทนที่จะหวงเข้ามาในตัว
หวงมันคือไล่... การให้คือเรียก หวงคือไล่ ให้คือเรียก
หมายความว่าเรานึกว่าของเราให้แล้วมันจะหมดไป
ถ้าเรายิ่งให้เราจะยิ่งได้ สังคมมนุษย์จะอยู่รวมกันอย่างมีความสุข
พืชพันธุ์ธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์ เราจะไม่ต้องแก่งแย่งกันเลย เพราะเราหวงแหน
ความโลภ ความโกรธ ความหลงในตัวเรา มันสอนให้เรา บีบบังคับให้เราหวงแหน
เมื่อหวงมากเข้าก็ยิ่ง นี่ของฉัน ก็เลยทำให้หวงมากเข้า มีเยอะแต่ไม่แบ่งปัน
ใครจะมาแย่งก็ไม่ได้ แถมจะไปเอาของคนอื่น มาเป็นของตัวเองอีก
อย่างนี้จะเกิดสันติภาพได้อย่างไร วิธีการคิดแนวใหม่ หวงคือไล่ ให้คือเรียก
ให้เถิดประเสริฐนัก
มีการปลูกฝังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ ได้ตระหนักแล้วก็มาร่วมกันรักสันติภาพ
เยาวชนคนรุ่นใหม่ ก็จะมาที่ Peace Memorial
และอนุสาวรีย์ที่สร้างไว้สำหรับเด็กที่ตายในสมัยสงครามโลก
เด็กและเยาวชนก็จะมายืนสงบนิ่ง เป็นสมาธินะ เป็นสมาธิทีเดียว
สักระยะหนึ่งเพื่ออุทิศคือแผ่เมตตาให้กับผู้ล่วงลับ
เขาอาจจะไม่รู้อุทิศบุญทำอย่างไร
อาจจะไม่รู้ว่าสันติภาพภายนอก สร้างจากสันติสุขภายในอย่างไร
เด็กกลุ่มนี้กำลังตระหนักซาบซึ้งว่า สงครามไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ถ้ามีโอกาสก็อยากจะบอกเขาว่า ลองนั่งสมาธิดูไหมล่ะ หลับตาเบา ๆ ผ่อนคลายสบาย
ทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย เดี๋ยวสันติสุขภายในเด็ก ๆ เหล่านี้
จะส่งผลไปสู่สันติภาพภายนอกเองสักวันหนึ่ง เด็กมาเยอะแยะทีเดียว
เด็กกำลังจะบอกว่าเราเกิดมาบนโลกใบนี้เหมือนกัน
เป็นมนุษย์เหมือนกัน เรามาช่วยกันสร้างปาฏิหาริย์ดีไหม
ปาฏิหาริย์ที่เด็กเขาร้องบอกว่า เราปล่อยวางความโกรธ หันหน้าเข้าหากัน
แล้วมาช่วยกันสร้างสันติสุขให้เกิดกับโลกเถิด อย่าทำร้ายกันเลย อดีตที่ผ่านมามันบอกแล้ว
มันเจ็บปวด ย้อนไปถึงว่าทุกครั้งที่เราสวดบทธัมมจักรกัปปวัตนสูตร ครบตามจำนวนจบที่ตั้งเป้าเอาไว้
เราก็จะย้ำระฆังทอง ระฆังธรรม
ถือว่าเป็นระฆังแห่งสันติภาพนะ
เพราะว่าเป็นระฆังที่ย้ำแล้ว ก็กำลังจะส่งเสียงระฆังอันกังวาน
ไปยังชาวโลกให้รู้ว่าบทสวดพระธัมมจักรกัปปวัตนสูตร
ที่หน้าพระมหาธรรมกายเจดีย์กำลังจะทำให้สันติภาพ เกิดขึ้นกับโลกอย่างแท้จริง
ด้วยการชวนให้ทุกท่านในโลกใบนี้มาสวดมนต์ แล้วก็ทำใจให้สงบ
หน้าพระมหาธรรมกายเจดีย์
เราพยายามหาสันติภาพด้วยวิธีที่หลากหลาย
จากทั้งโลกใบนี้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้วิธีการง่าย ๆ จริง ๆ นะ
คือแค่หลับตาเบา ๆ ผ่อนคลายสบาย ดำเนินใจเข้าไปสู่เอกายนมรรคหรือทางเอกสายเดียว
ภายในกลางของกลางไปเรื่อย ๆ แล้วพระองค์ก็สามารถสร้างสันติภาพ
ให้เกิดขึ้นในระดับหนึ่ง มาได้ 2,500 กว่าปีแล้ว
มาถึงยุคของเรา
เราเองก็เป็นผู้หนึ่งที่เป็นส่วนร่วม ในการสร้างสันติภาภพเช่นกัน ตั้งปีพ.ศ. 2513
เป็นต้นมา วัดพระธรรมกายได้ถือกำเนิดขึ้น ตั้งแต่วันนั้นขุดดินก้อนแรก วันมาฆบูชา
วันมาฆบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าให้โอวาทปาฎิโมกข์แก่พระภิกษุ 1,250 รูป เปรียบประดุจโอวาทให้กับนักสร้างสันติภาพชุดแรก
ชุดใหญ่ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหมด ให้กระจายไป 1 องค์หลาย ๆ ทาง
ช่วยกันสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้น
พระอรหันต์บางพระองค์
เดินทางมาถึงประเทศไทย แล้วก็ฝากมรดกธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ให้กับพวกเรา
มาถึงวันของเราแห่งนี้เมื่อปี 2513 เราก็สร้างวัดมา ดำเนินชีวิตมาด้วยวิธีการง่าย
ๆ ที่ใครนึกไม่ถึงเลย คือถึงเวลารับบุญก็รับไป ถึงเวลาก่อสร้างก็สร้างไป
ถึงเวลากิจวัตรสวดมนต์ ก็สวดมนต์ไป ถึงเวลาหลับตาก็หลับตา หลับตาเบา ๆ
ผ่อนคลายสบาย ทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย ก็มีชีวิตอยู่แค่นี้
ไม่ได้ไปคิดว่าต้องไปทำอะไรมากไปกว่านี้
ที่คิดมากหน่อยก็คือทำอย่างไร
จึงจะทำให้คนอื่นนั้นได้รับสันติสุขภายในให้เร็วที่สุด แล้วก็มากที่สุด
ในช่วงเวลาของชีวิตเราที่มันสั้นนัก ไม่เกิน 100 ปี ก็ตายจากกันแล้ว ทำอย่างไร
เราจะมีประโยชน์แก่ตนเอง ครอบครัว เหมือนกับสามเณรไปทำเมื่อกี้นี้
ประโยชน์กับผู้อื่นอีกมากมายในสังคม ที่เขาแสวงหา คำว่าสันติภาพอยู่อีกเป็นล้าน ๆ
หลายล้าน
เขารอผู้มีบุญไปบอกเขาว่า สะกิดนิดหนึ่ง ความจริงไม่ยากนะ เธอลองดูซิ หลับตาเบา ๆ ผ่อนคลายสบาย ทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย เดี๋ยวเธอเจอสันติสุขภายใน แล้วเดี๋ยวบ้านเธอก็จะเลิกทะเลาะกันนะพ่อ แม่ ลูก สันติสุขเกิดขึ้นในบ้านก่อนเลยพ่อ แม่ ลูก สมานฉันท์ ครอบครัวรักกัน เข้าใจกัน ก็เริ่มง่าย ๆ ด้วยวิธีการแบบนี้
แล้วพอครอบครัวที่เป็นยูนิตที่เล็กที่สุดของสังคม
ได้ความสันติสุขแล้ว สันติภาพก็ค่อยก่อเกิดขึ้นมา ขยายตัวไปเรื่อย ๆ
อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ที่วัดพระธรรมกายก็ทำแบบนี้ คิดแบบง่าย ๆ
ไม่ได้คิดลึกซับซ้อนอะไรเลย ลองมาฝึกดู เราก็พยายามที่จะออกไปฝึกกัน
ในที่สุดนี้ก็ขอให้ความสันติสุข
จงเกิดขึ้นแก่ดวงใจ ณ ศูนย์กลางกายของทุกท่าน ขอให้สันติสุขภายใน เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สม่ำเสมอ ทุกครั้งที่ทุกท่านได้ตรึกระลึก นึกถึงศูนย์กลางกายครั้งใด ก็ขอให้
ใจเรานั้นติดนิ่งแน่นที่ศูนย์กลางกายตลอดเวลา
ให้อานิสงส์ที่เกิดจากการทำใจหยุดนิ่งของเรานั้น แผ่ขยายไปทั่วโลก ทั่วจักรวาล
อนันตจักรวาล ทำให้สันติภาพภายนอกเกิดขึ้นได้
ด้วยอานุภาพของใจที่มีสันติสุขภายในของเรา ให้ความสำเร็จนี้จงเกิดขึ้นในเร็วพลัน
จงทุกท่านทุกประการเทอญ
#ฝันในฝัน #โรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน #โรงเรียนฝันในฝัน
#กฏแห่งกรรม
#ธรรมะ #แสดงธรรม
#นักเรียนอนุบาล