โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2561
พระมหาคองเขน
สิริจนฺโท
แสดงธรรมเรื่อง อานิสงส์การแผ่เมตตา 11 ประการ
ห้อง SPD 4 สภาฯ
***************************
ขอความเจริญรุ่งเรืองในธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จงบังเกิดมีแด่นักเรียนโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทั่วโลกทุก ๆ ท่าน
วันนี้มาศึกษาเรียนรู้ธรรมะที่ได้นำมาขยายความ คือเรื่องพระกับมาร จนกระทั่งมาถึงตอนที่
6 ซึ่งมีหลายตอน เป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกที่ท่านรวบรวมเรียบเรียง
เกี่ยวกับเรื่องมารที่คอยมาขัดขวางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือขัดขวางการสร้างบารมีของพระสาวก
เป็นเรื่องที่มารมารบกวนพระพุทธเจ้า คำว่าพระกับมารนั้น พระหมายถึงพระพุทธเจ้า
มารคือผู้ขัดขวางนั่นแหละ ซึ่งมาในรูปแบบหลากหลายมาก
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นบรมครูของพวกเราแล้ว
พระองค์ก็ยังเจอ นี่ขนาดบรมครูนะ ดังนั้นพวกเราซึ่งยังไม่หมดกิเลสย่อมต้องเจอ แต่ถ้าเราศึกษาเอาไว้ก่อน
เราจะได้รู้ว่า มารก็มีเล่ห์เหลี่ยมอย่างไร… เขามีวิธีการพูดอย่างไร …วิธีการยุแยงตะแคงรั่วอย่างไร
ให้เรารู้เท่าทัน รู้เท่าเสียไปครึ่ง
รู้ไม่ถึงเสียทั้งหมด เสียท่ามาร รู้เท่าบางทียังอดใจไม่ไหว มันต้องเอาสักหน่อย
อย่างนี้ก็มี นี่รู้เท่าเสียไปครึ่ง …รู้ไม่ถึง เสียทั้งหมดเลย เสียก็คือเสียท่ามาร เขาดึงใจเราออกไปหมด
ดึงการสร้างบารมีเราออกไปหมด
ยิ่งมีข่าวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
บางคนประกาศตนไม่มีศาสนาเลยก็มี คนประเภทนี้เข้าทางมารเลย นี้เป็นวิธีการของเขา
ดึงเราให้ออกจากเส้นทางการสร้างบารมี ถามว่าตนเองหลุดออกจากเส้นทางการสร้างบารมี แล้วใครเสีย? ก็ตนเองนั่นแหละ
เพราะว่าเสียโอกาสในการสร้างบารมีเลยนะ เพราะว่าเกิดมาแต่ละครั้งเกิดยากมาก ๆ
ดูในฉิคคฬสูตรเป็นการอุปมาอุปไมยการเกิดขึ้นของมนุษย์
ที่พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบกับแอก ซึ่งแอกที่ใส่ให้วัวควายไถนาหรือลากเกวียนมีรูเดียว
โยนแอกไปท่ามกลางมหาสมุทรที่มีลมพัด มีคลื่นตลอดทิศทั้งสี่ คือไม่นิ่ง แล้วมีเต่าตาบอด
100 ปีจะโผล่หัวขึ้นมาครั้งหนึ่ง แล้วให้หัวของมันสวมเข้ากับรูแอกรูเดียวนั้นพอดี
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก เหมือนโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์มันยากแสนยาก
เกิดมายาก แต่ตายง่าย
บางทีนอนไหลตายก็มี บางทีแค่เป็นหวัดแล้วตายก็มี
ไม่มีใครทำร้ายเลย แค่หายใจเข้า ไม่หายใจออกก็ตายแล้ว
ดังนั้นพอเราหยุดการสร้างบารมี หยุดการสร้างความดี คือเข้าไปสู่เส้นทางมาร
เขาต้องการขัดขวาง ต้องการดึงให้เราอยู่ในภพ ขังเอาไว้ ให้เวียนว่ายตายเกิด มันเป็นบารมีของเรา
เป็นสิ่งที่เขากระทำ หากเรารู้ไม่เท่าทัน เราก็หลงทางไป มีหลาย ๆ คนที่มีกระแสของมารเข้ามามากก็ไขว้เขว
ไม่มั่นคงในการสร้างบารมี ก็หลุดจากเส้นทางการสร้างบารมี สุดท้ายก็ไปตามเขา ซึ่งกว่าจะกลับเข้ามามันยากมาก
ถ้าเราไปศึกษาดูวัฏจักรหรือการเวียนวานตายเกิด
อย่างการหลุดไปอยู่มหานรกขุมที่ 1 หนึ่งวัน หนึ่งคืน ในมหานรกขุมที่ 1 ก็ 9
ล้านปีเมืองมนุษย์ไปแล้ว ถ้าไปตกสัก 500 ปี จะเป็นอย่างไร ....โอ้โห กว่าจะวนกลับขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าหลุดจากมหานรกแล้วจะขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์เลย
บางทีก็มาเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และในขณะที่เกิดมาเป็นเดรัจฉานก็ไปฆ่ากัน
กินกัน จะเป็นวิบากผูกกันไปอีก ...โอ้ มันยาวนาน
ถึงอยากจะเอาเรื่องราวเหล่านี้มาให้พวกเราได้ศึกษา จะได้รู้เท่าทัน
อย่างน้อยเราก็มีสติรู้แล้วว่าอันนี้เป็นทางพระ อย่างนี้เป็นทางมารนะ แม้จะเสียไปครึ่งหนึ่ง
คือสภาวะใจของเราอาจจะมีหวั่นไหวบ้าง เพราะยังไม่หมดกิเลส หรืออาจจะเคลือบแคลงสงสัย
หรืออาจจะมีกระทบกระทั่งกับอารมณ์ภายนอกบ้าง ถ้าเรารู้ทันมัน ก็ยังดีกว่าที่ไม่รู้เลย
เลยนำเอาเรื่องราวเกี่ยวกับพระกับมารมาเล่า
จนกระทั่งมาถึงตอนที่
6 สุปปติสูตรที่ 7 ว่าด้วยสำเร็จสีหไสยาสน์ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำเร็จสีหไสยาสน์หรือการนอนตะแคงขวา
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต
กรุงราชคฤห์ ถ้าเป็นเวฬุวันเราก็คงจำได้ ผู้ถวายเวฬุวนารามเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา
คือพระเจ้าพิมพิสาร
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจงกรมอยู่กลางแจ้งเกือบตลอดราตรีในเวลาใกล้รุ่ง
คือแม้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังต้องปฏิบัติพุทธกิจ ทำสมาธิในลักษณะเดินจงกรม ไม่ใช่การเดินเป็นวงกลม
บางพวกเข้าใจผิดคิดว่าเดินจงกรมคือการเดินเป็นวงกลม วนไปวนมา คำว่าจงกรม หมายถึงการเดินทำสมาธิ
ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงล้างพระบาท
แล้วเสด็จเข้าพระวิหาร ทรงสำเร็จสีหไสยาสน์ โดยพระปรัศว์เบื้องขวา คือนอนตะแคงขวา ทรงเหลื่อมพระบาทด้วยพระบาท
นี้คงเข้าใจนะว่าพระบาทพระองค์ซ้อนกัน ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ
ทรงทำความหมายอันจะเสด็จลุกขึ้นไว้ในพระทัย คือจะพักผ่อนไม่กี่นาที ไม่กี่ชั่วโมง
พอให้กายหยาบได้พักแล้วพระองค์จะเสด็จลุกขึ้น พระองค์ใช้วิธีการกำหนดจิต
พอถึงเวลาปุ๊บ ลุกขึ้นเลย
ครั้งนั้น มารผู้มีบาปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วกราบทูลด้วยคาถาว่า ท่านหลับหรือ? ท่านหลับเสียทำไมนะ มีลีลาในการพูด
เหมือนพูดประชดประชัน มากวนไม่ให้หลับ ท่านหลับเป็นตายเทียวหรือนี่
ท่านหลับโดยสำคัญว่าเรือนว่างเปล่ากระนั้นหรือ เมื่อตะวันโด่งแล้ว
ท่านยังจะหลับอยู่หรือนี่? เป็นสำนวนมาร เขาประชดประชัน กระแทกแดกดัน
ถ้าแปลเป็นภาษาบ้าน ๆ ก็ในทำนองว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วยังนอนอุตุอยู่หรือ
นอนจนตะวันโด่งหรืออย่างไร
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบนี่มารผู้มีบาป จึงได้ตรัสกับมารด้วยพระคาถาว่า ทำไมมารถึงขวางไม่ให้พระพุทธเจ้าหลับ
ก็เพื่อไม่ให้พระองค์ได้พักผ่อนพระวรกาย ซึ่งกายหยาบยังต้องการพักผ่อนอยู่
มีการขบฉันอาหารอยู่ แม้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ถ้าไม่ได้ขบฉันภัตตาหาร ไม่ได้พักผ่อน สภาวะสังขารร่างกายหรือพระวรกายก็ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้
เพราะฉะนั้นจะต้องมีของหยาบไปหล่อเลี้ยงเหมือนกัน
พระพุทธเจ้า
ซึ่งไม่มีตัณหาดุจข่ายอันซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ สำหรับจะนำไปสู่ภพไหน ๆ ย่อมบรรทมหลับเพราะความสิ้นไปแห่งอุปธิทั้งปวง
คำว่าอุปธิหมายถึงกิเลสตัณหา พระองค์ก็บอกว่า พระองค์หลับไปแล้ว หลับอย่างมีความสุข
หลับอย่างสนิทใจ เพราะกิเลสหมดแล้ว ไม่ได้หลับเหมือนชาวโลกทั้งหลายที่หลับไปพร้อมกิเลส
พระองค์ก็ตรัสตอบว่า
กงการอะไรของท่านในเรื่องนี้เล่ามารเอ๋ย ถามว่าเป็นเรื่องอะไร
ถ้าเทียบปัจจุบันก็ทำนองว่า แล้วมันเรื่องอะไรของโยม
ยุ่งเหลือเกินเรื่องของพระนี่นะ ปัญหาของโยมมีเยอะแยะไม่ไปจัดการ
อยากจะจัดการแต่เรื่องของพระ
พระองค์ก็ตรัสตอบว่า
กงการอะไรของท่านเล่ามารเอ๋ย ครั้งนั้นมารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเราดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
คือพอรู้ว่าพระพุทธเจ้ารู้ทันแล้ว ตอนที่ตัวเองแปลงเข้าไปหาพระพุทธเจ้านั้น
แต่ในที่นี้ไม่ได้บอกว่าแปลงร่างเป็นอะไร เหมือนการเข้าไปเฝ้าไม่ได้ไปในรูปของมาร คงจะแปลงร่างเป็นเทพบุตรหรือเป็นอะไร
ไม่ได้บอกเอาไว้ พอรู้ว่าพระพุทธเจ้ารู้ทันก็อันตรธานหายไป
ทีนี้พอพูดถึงเรื่องความหลับ
หรือการนอน การพักผ่อน ในส่วนที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า ทำอย่างไรมนุษย์ถึงจะหลับอย่างมีความสุข
แล้วตื่นอย่างมีความสุข สำหรับพระพุทธเจ้าทรงหมดอาสวกิเลสแล้ว กำจัดอุปธิหรือกำจัดกิเลสตัณหาหมดแล้ว
พระองค์ก็หลับได้สนิท มีความสุขเพราะเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพวกเราที่ยังไม่หมดกิเลส
ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ทำอย่างไรจะหลับมีความสุข? ในเรื่องการหลับนั้น
พระองค์ได้ตรัสไว้ในพระสูตรอังคุตตรนิกาย เอกาทสกนิบาต เมตตาสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุติ
อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว คำว่าเสพนี้หมายถึงปฏิบัติ ไม่ใช่สงสัยว่า เมตตาเสพกันอย่างไร
ไปคิดถึงเรื่องการเสพยาอย่างนั้นไม่ใช่นะ นี้เป็นศัพท์เก่าแก่ อย่างที่บอกเอาไว้
พยายามจะเอาศัพท์ดั้งเดิมที่มีปรากฏอยู่ อย่างคำว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัจจุบันไม่ได้เขียนแนวนี้แล้ว
แต่อยากจะทรงรากเดิมเอาไว้บ้าง มิฉะนั้นจะแปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนไม่เหลือรากเดิม
อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน
ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นโดยลำดับ สั่งสมดีแล้ว ปรารภด้วยดีแล้ว
พึงหวังอานิสงส์ 11 ประการ 11 ประการเป็นไฉน นี้เป็นเรื่องของการแผ่เมตตา
ถ้าเราอยากมีความสุขทั้งหลับและตื่น
ใน 11 ประการของการแผ่เมตตานั้น
ท่านได้พูดไว้อย่างนี้ว่า
ย่อมหลับเป็นสุข 1 ย่อมตื่นเป็นสุข 1 ย่อมไม่ฝันลามก 1 ย่อมเป็นที่รักแห่งมนุษย์ทั้งหลาย 1 ย่อมเป็นที่รักแห่งอมนุษย์ทั้งหลาย 1 เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา 1 ไฟ
ยาพิษหรือศาตราย่อมไม่กล้ำกรายได้ 1 จิตย่อมตั้งมั่นโดยรวดเร็ว
1 สีหน้าย่อมผ่องใส 1 เป็นผู้ไม่หลงใหลทำกาละ
1 เมื่อไม่แทงตลอดคุณอันยิ่ง ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก 1
นี้คืออานิสงส์
11 ประการของการแผ่เมตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุติอันบุคคลเสพแล้ว
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นโดยลำดับ
สั่งสมดีแล้ว ปรารภด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ 11 ประการนี้แล ท่านได้ขยายความอานิสงส์ 11 ประการของการแผ่เมตตาอย่างไร
ในอรรถกถาได้ขยายความไว้ดังนี้
1. ชื่อว่าหลับเป็นสุข
เพราะไม่หลับเหมือนคนนอกที่นอนกรน กระสับกระส่ายหลับเป็นทุกข์
แม้เมื่อหยั่งลงสู่ความหลับก็เป็นสุขเหมือนผู้เข้าสมาบัติ คือบางคน บางพวกหลับแล้วกรน มีการละเมอ
ไปเห็นบางทีสงสาร เราก็ตกใจนึกว่าเกิดอะไรขึ้น ละเมอร้องดัง บางคนนอนกัดฟันทั้งคืน
กัดจนกระทั่งฟันสึกไปเลย ก็แปลกดี บางคนนอนแล้วกรน บางคนนอนละเมอ อย่าว่าแต่คน
แม้แต่สัตว์ยังละเมอเหมือนกัน (วีดีโอ ...สุนัขนอนละเมอ)
สุนัขมันคงจะฝันว่าวิ่งไล่อะไรสักอย่าง
นี่เป็นสัตว์เดรัจฉานยังนอนละเมอได้ถึงขนาดนี้ บางคนละเมอลุกไปตักน้ำจนเต็มตุ่มก็มี
ไม่รู้ว่าเก็บกดอะไร เลยฝันว่าไปหาบน้ำมาใส่ตุ่ม
ตื่นขึ้นมาสงสัยใครตักน้ำมาใส่จนเต็มตุ่ม ยังไม่รู้ตัวอีกนะ คนแบบนี้ก็มี
ดังนั้นคนที่นอนละเมอ จะหลับไม่เป็นสุข แต่ผู้ที่หลับเป็นสุขก็คือ นอนหลับแล้วไม่กระสับกระส่าย
ท่านใช้คำว่า มีความสุขเหมือนเข้าสมาบัติ
2. คนอื่น ๆ
ถอนใจกระสับกระส่ายอยู่ ตื่นเป็นทุกข์ฉันใด บุคคลผู้เสพเมตตาเจโตวิมุตติ
หาตื่นเป็นทุกข์ฉันนั้นไม่ ไม่มีอาการผิดปกติ ตื่นเป็นสุข
เหมือนดอกปทุมกำลังแย้มอยู่
คือบางท่านหลับแล้วมีความสุข
ตื่นขึ้นมารู้สึกว่าสดชื่น มีความสุข คือไม่งัวเงียอะไร คือพอจิตไม่แบก
ไม่กังวลแล้วหลับสนิท เมื่อหลับสนิท พอตื่นขึ้นมาร่างกายก็สดชื่น
พร้อมที่จะทำภารกิจการงานต่อไป
3.
บุคคลผู้เสพเมตตาเจโตวิมุตติ เมื่อฝันก็ฝันเห็นแต่เรื่องที่เจริญเท่านั้น เป็นเหมือนไหว้พระเจดีย์
นี่เห็นไหม เรามาไหว้พระมหาธรรมกายเจดีย์ มาสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
หลายคนอาจจะกลับไปนอนฝันว่าสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หรือฝันว่าเดินเวียนประทักษิณ
ฝันอย่างนี้ใช้ได้ ถ้าจะฝันก็ฝันเป็นมงคลอย่างนั้น
พระมหาธรรมกายเจดีย์ของเราสุดยอดเลยนะ เราสร้างกันมาด้วยความยากลำบาก
เมื่อสร้างมาแล้วเราได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
กี่ปีมาแล้วที่เราสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรกันตลอดวัน ตลอดคืน ไม่มีเวลาว่างเว้นเลย
24 ชั่วโมง ถ้าใครนอนไม่หลับก็ให้มาเวียนประทักษิณ มาไหว้พระเจดีย์
พอง่วงแล้วค่อยไปนอน ตื่นขึ้นมาก็มาสวดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีโอกาสได้สร้างแม้องค์พระ
1 องค์ ซึ่งท่านใช้คำว่า ตะปู 1 ดอก อิฐ 1 ก้อน ปูน 1 ถังอะไรพวกนั้น
บุญมหาศาลเลยนะ เพราะรองรับผู้มีบุญ รองรับนักปฏิบัติ เราสวดกัน
ผู้คนก็หลั่งไหลกันมา เราตั้งใจที่จะสวดกันให้ได้ 585 ล้าน ดังนั้นเป็นบุญล้วน ๆ
เลย ซึ่งแม้แต่ฝันก็ฝันว่า ได้ไหว้พระเจดีย์ เหมือนกระทำบูชา
เหมือนฟังธรรมอยู่ฉะนั้น และย่อมไม่ฝันเห็นที่ลามก เหมือนคนพวกอื่นที่ฝันเห็นตนถูกพวกโจรพากันรุมล้อม
เหมือนถูกสัตว์ร้ายทำร้ายเอา และเหมือนกำลังตกเหวฉะนั้น ซึ่งบางคนฝันว่าตกเหว
แต่ที่ไหนได้ ตนเองตกเตียง ซึ่งผู้ที่แผ่เมตตาจะไม่ฝันอย่างนั้น ฝึกไว้ดีนะ
แล้วเราจะฝันเห็นแต่เรื่องที่เป็นสิริมงคล จะฝันเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นบุญกุศลล้วน
ๆ
4.
บุคคลผู้เสพเมตตาเจโตวิมุตติ ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของมนุษย์ทั้งหลาย
เหมือนแก้วมุกดาหารที่สวมไว้ที่อก และเหมือนพวงมาลัยประดับไว้ที่ศีรษะฉะนั้น คนที่แผ่เมตตาด้วยความรัก
ความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย กระแสใจที่ไม่คิดร้ายใคร
จะไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก มีแต่คนอยากเข้าใกล้ เหมือนคนมีเสน่ห์
แต่ถ้าคนที่จิตใจดุร้าย ใจมีแต่ความอิจฉาริษยาตาร้อนจะมีกระแสรับรู้กันได้
อย่าว่าแต่คน บางทีสัตว์มันก็ไม่เข้าใกล้นะ อย่างสุนัขที่เราเลี้ยงไว้ ถ้าเราตี
เราทำร้ายมันบ่อย ๆ เห็นเรามา มันก็หนีแล้ว แต่ถ้าเราเมตตามัน ลูบหัว ให้อาหารมัน พอมันเห็น
เรามันก็กระดิกหางเข้ามาหา นี้คือกระแสของความเมตตา
แม้แต่สัตว์มันก็รับรู้ได้ ท่านถึงบอกว่าคนที่มีปกติแผ่เมตตา ไปที่ไหน ๆ
ก็จะมีแต่มนุษย์และเทวดาทั้งหลายพากันเข้าใกล้
5. บุคคลผู้เสพเมตตาเจโตวิมุตติ
ย่อมเป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย เหมือนเป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
ดุจพระวิสาขเถระ เรื่องกล่าวไว้พิสดารแล้วในเมตตากรรมฐานนิเทศ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค
พระเถระรูปนี้เป็นผู้ที่ปฏิบัติเกี่ยวกับการแผ่เมตตา แล้วเป็นที่รักของอมนุษย์ คืออมนุษย์ไม่มาทำร้าย
ไม่มากล้ำกราย อมนุษย์แปลว่าไม่ใช่มนุษย์ อาจจะเป็นผีสางนางไม้ เป็นภูต ผี ปีศาจ
เหล่านี้เป็นพวกอมนุษย์
พระวิสาขเถระนั้น
เดิมเป็นคหบดีชั้นกุฎุมพี อยู่ในเมืองปาฏลีบุตร ในชมพูทวีป
เมื่อเขาอยู่ในเมืองปาฏลีบุตร ได้ยินข่าวเล่าลือมาว่า
ลังกาทวีปนั้นเป็นประเทศที่ประดับประดาสง่างามไปด้วยระเบียบพระเจดีย์
มีความรุ่งเรืองเหลืองอร่ามไปด้วยผ้ากาสาวพัสตร์
ที่ลังกาทวีปก็คือศรีลังกา
ที่ศรีลังกามีพระเจดีย์เยอะแยะไปหมด ท่านบอกว่ารุ่งเรืองเหลืองอร่ามไปด้วยผ้ากาสาวพัสตร์
หมายความว่าเต็มไปด้วยนักบวช มีพระ มีสามเณรมาก
เหมือนในประเทศไทยที่มีวัดบางวัดที่เป็นข่าวอยู่ วัดนี้มีพระเจดีย์ใหญ่
มีพระพุทธเจ้าเป็นล้าน ๆ องค์ สีทองอร่าม มีพระภิกษุสามเณรหลายพันรูป อย่างนี้นะ
ข่าวก็เล่าลือไปอย่างนั้นคล้ายกัน นี้เปรียบเทียบเอานะ
ในลังกาทวีปนั้น ใคร
ๆ ก็ตามสามารถที่จะนั่งหรือจะนอนได้อย่างสบาย ปลอดภัยในที่ตน
ต้องประสงค์และสัปปายะทุก ๆ อย่าง คือ อากาสสัปปายะ เสนาสนสัปปายะ บุคคลสัปปายะ
ธรรมสวนสัปปายะ เป็นสิ่งที่หาได้ง่ายดายในลังกาทวีปนั้น ก็คือสะดวกสบาย
มีพร้อมเพรียง อย่างเช่น อากาศ เสนาสนะ บุคคล ธรรมะ
ท่านบอกว่าเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายในลังกาทวีป
กุฏุมพีวิสาขะจึงได้ตัดสินใจมอบกองโภคสมบัติของตนให้แก่บุตรและภริยา
มีทรัพย์ติดชายผ้าอยู่เพียงกหาปณะเดียวเท่านั้น ออกจากบ้าน คือสละทรัพย์สมบัติ อยากจะออกบวช
มีการวางแผนไว้ในใจ แต่ด้วยความที่ตนเองทำการค้าเก่ง ถ้าเทียบปัจจุบันคือ
เอาสมบัติที่มีให้ลูก ให้ภรรยาหมดเลย เอาเงินแค่บาทเดียวติดกระเป๋ามา ไปคอยเรืออยู่ที่ท่ามหาสมุทรเดือนหนึ่ง
ใช้เวลานานกว่าจะมา โดยที่กุฏุมพีวิสาขะเป็นคนฉลาดในเชิงโวหาร เขาได้ซื้อสิ่งของ ณ
ที่นี้ไปขาย ณ ที่โน้น รวบรวมทรัพย์ได้ถึงพันกหาปณะภายในระหว่างหนึ่งเดือนนั้น ทั้งนี้ด้วยการค้าขายอันชอบธรรม
มีเงิน 1 บาท
ใช้เวลา 1 เดือนสามารถค้าขายอยู่ที่ท่าเรือ
เพื่อจะใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาบวช แต่ของเราในพรรษานี้ เราบวชฟรี
แล้วก็บวชฟรีไปเรื่อย ๆ เราก็มีหน้าที่ไปตามคนมาบวช
เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเราไปตามกุลบุตรทั้งหลาย
ที่มีศรัทธาบวชอยู่รักษาพระพุทธศาสนา กุฏุมพีวิสาขะใช้เวลา 1 เดือนค้าขาย
ก็มีเงินติดตัวเดินทางไปบวชของท่าน
เขาได้ไปถึงวัดมหาวิหารในลังกาทวีปโดยลำดับ
ครั้นแล้วก็ได้ขอบวชทันที คือเจตนาตั้งใจเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่า สมบัติที่มีอยู่
เอาไว้ให้ครอบครัว ตนเองก็อยากจะออกมาบวช แต่ไม่อยากจะรบกวนสมบัติที่เคยหามาไว้
ขอแค่บาทเดียว แล้วก็หาวิธีการ จนกระทั่งเดินทางมา
สุดท้ายมีโอกาสได้มาบวชอยู่ที่ศรีลังกา พระเถระได้มาถึงวัดจิตตลบรรพตแล้ว จึงอยู่
ณ ที่นั้นจนครบ 4 เดือน ท่านปฏิบัติจนกระทั่งได้เป็นพระอรหันต์
แล้วท่านก็มีปกติในการแผ่เมตตา ในคืนสุดท้ายได้ตั้งใจไว้ว่า พรุ่งนี้เราจักต้องไปแต่เช้า
ดังนี้แล้ว จึงเตรียมตัวจำวัด รุกขเทวาตนหนึ่ง
ซึ่งสิงอยู่บนต้นแก้วตรงที่ปลายจงกรม ได้มานั่งร้องไห้อยู่ที่ขั้นบันได
พระเถระจึงถามว่านั่นใคร?
เทวดาเรียนตอบว่า ดิฉันมณิลิยา เจ้าข้า พระเถระซักว่า เธอร้องไห้ทำไม?
เทวดาเรียนว่า เพราะอาศัยที่พระคุณเจ้าจะจากไป เจ้าข้า พระเถระจึงถามว่า
เมื่อฉันอยู่ ณ ที่นี้ เป็นคุณประโยชน์อะไรแก่พวกเธอหรือ? คือท่านก็ไม่รู้ว่า ท่านทำอะไรที่มีประโยชน์แก่พวกเทวดา
เวลาท่านจะจากไป ทำไมเทวดาถึงน้ำตาไหล ทำให้เทวดาร้องไห้
ที่ร้องไห้ไม่ได้ร้องเพราะเสียใจ แต่รู้สึกเสียดาย
อาลัยอาวรณ์ในพระผู้มีเมตตาจิตจะจากไป
เทวดาก็เรียนตอบว่า
เมื่อพระคุณเจ้าอยู่ ณ ที่นี้ พวกดิฉันและอมนุษย์ทั้งหลายต่างก็ได้มีเมตตาอารีแก่กันและกัน
ด้วยเมตตาจิตของท่านที่แผ่ออกไป ทำให้พวกอมนุษย์ ผีสางนางไม้ ภูติ ผี ปิศาจ
เทวดาทั้งหลาย ได้แบบอย่าง ได้ปฏิบัติตาม ก็ทำให้เทวดาทั้งหลายเหล่านั้นมีความเมตตาอารีซึ่งกันและกัน
นี้สำคัญนะ
ดังนั้นคุณครูไม่ใหญ่ถึงบอกให้พวกเรามาสวดมนต์ มานั่งแผ่เมตตากัน
กระแสความเมตตาของเราก็จะทำให้คนรอบข้างได้รับกระแสความเมตตาที่เราแผ่ออกไป
เขารับรู้ได้ก็จะแผ่กันต่อ ๆ ไปเป็นลูกโซ่ไปอย่างนั้น ก็คล้าย ๆ อย่างเทวดา
อมนุษย์เหล่านี้ อย่าลืมว่าเขาก็ยังไม่หมดกิเลส ถ้าเราไปศึกษาในพระไตรปิฎก
เทวดายกพวกตีกันก็มี คล้าย ๆ มนุษย์นะ
แม้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ยังตีกันก็มี เพราะเทวรถไปขวางทางกัน
ดังนั้นเทวดาก็ยังมีโกรธ มีการแย่งนางฟ้า ก็เหมือนมนุษย์นั่นแหละ
เพียงแต่ว่าเป็นภพภูมิที่ละเอียดกว่าเท่านั้นเอง
ด้วยกระแสแห่งความเมตตาของพระวิสาขเถระ
พอท่านแผ่เมตตาไป พวกอมนุษย์ทั้งหลายได้รับกระแส พากันปฏิบัติตามท่าน
มองกันด้วยความรัก ความปรารถนาดี เอื้อเฟื้อเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่ได้จับผิด
ไม่ได้คิดร้ายต่อกัน ดังนั้นก็ทำให้พวกอมนุษย์ไม่ทำการทะเลาะวิวาทกัน
เทวดาจึงเรียนตอบว่า
ท่านคะ เมื่อพระคุณเจ้าอยู่ ณ ที่นี้ พวกเทวดาและอมนุษย์ทั้งหลายต่างก็ได้มีเมตตาอารีแก่กันและกัน
แต่บัดนี้เมื่อพระคุณเจ้าจะจากไปเสียแล้ว
พวกเทวดาและอมนุษย์ก็คงจัดทำการทะเลาะวิวาท จักกล่าวคำหยาบแก่กันและกันเป็นแน่
เจ้าค่ะ พระเถระจึงได้บอกแก่เทวดาว่า ถ้าฉันอยู่ ณ ที่นี้
ความอยู่ผาสุกสำราญย่อมมีแก่พวกเธอ ฉันดีใจมาก ดังนี้ แล้วได้อยู่ ณ วัดนั้นต่อไป
จนครบ 4 เดือนอีก
ท่านรู้ว่าข้อวัตรปฏิบัติการแผ่เมตตาจิตของท่านมีผลทำให้เทวดาและอมนุษย์ที่อยู่โดยรอบอยู่กันอย่างมีความสุข
อยู่กันอย่างผาสุก ท่านก็เลยอยู่ต่อไปอีก 4 เดือน แล้วค่อยจากไป ท่านคิดอย่างนั้น ครั้นครบ
4 เดือนแล้ว ก็ได้คิดจะไปเหมือนอย่างเดิมอีก
แม้เทวดามณิลิยานั้นก็ได้ไปร้องไห้เหมือนนั้นอีก
เทพธิดามณิลิยาพอรู้ว่าท่านจะไปร้องไห้ทุกที โดยอุบายนี้พระเถระเลยอยู่ ณ
ที่วัดนั้นและนิพพาน ณ ที่วัดนั้นนั่นแล ก็หมดอายุขัยที่วัดนั้น เมตตาวิหารีบุคคล
ย่อมเป็นที่รักใคร่ที่เจริญใจของอมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ ท่านได้เปรียบเทียบ
โดยยกตัวอย่างการแผ่เมตตาทำให้เป็นที่รักของเทวดาและอมนุษย์ทั้งหลาย
ดังนั้นใครที่มีความกลัว หวาดหวั่น ก็ต้องฝึกแผ่เมตตา จริง ๆ
เราคงเคยได้ยินได้ฟังคุณครูไม่ใหญ่ท่านสอนพวกเราเกี่ยวกับเรื่องการแผ่เมตตา
สมัยก่อนพอจบรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาจะมีทุกครั้ง
จะเป็นเสียงของท่านนำแผ่เมตตา ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่ยาว
ให้พวกเราตามไปดูว่าขั้นตอนการแผ่เมตตาทำอย่างไร ทำใจให้สงบอย่างไร
แผ่ออกไปอย่างไร เป็นภาคปฏิบัติ แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องฝึกเอาไว้ ท่านบอกว่าอย่าห่อเมตตา
ให้แผ่ คือบางคนไปห่อเมตตาเอาไว้ หุ้มเอาไว้ ไม่แผ่ออกสักที ยิ่งห่อเท่าไหร่
ก็ยิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด คนก็ยิ่งไม่เข้าใกล้ เทวดา อมนุษย์ก็ยิ่งหนี เขาไม่รักใคร่
หรือบางทีอาจจะหมั่นไส้เอา แต่ถ้าเรามีปกติแผ่เมตตา ขยายใจเราออกไป
ก็จะเป็นที่รักของเทวดาและอมนุษย์ทั้งหลาย
6. เทวดาย่อมรักษา
เหมือนมารดาบิดารักษาบุตรฉันนั้น คือเขามีความรัก
ความปรารถนาดีต่อพวกเราเหมือนกับพ่อแม่รักลูก ดูแลลูก
คือไปที่ไหนก็ไม่ให้ใครมาทำร้ายทำลาย เพราะกระแสความเมตตาที่เราแผ่ขยายออกไป
7. ไฟย่อมไม่กล้ำกราย
คือไม่เข้าไปพ้องพานร่างกายของผู้อยู่ด้วยเมตตา เหมือนนางอุตตราอุบาสิกา
ท่านบอกว่าไฟไม่สามารถทำลายผู้อยู่ด้วยเมตตา เหมือนนางอุตตราอุบาสิกา
ซึ่งประวัติของนางอุตตราอุบาสิกา
เป็นธิดาของนายปุณณะ ซึ่งแรก ๆ นายปุณณะมีฐานะยากจนข้นแค้นมาก
นายปุณณะไปรับจ้างท่านเศรษฐี พอถึงเทศกาลหนึ่งคล้าย ๆ เทศกาลสงกรานต์บ้านเรา
จะมีมหรสพ 7 วัน 7 คืน
ทีนี้เศรษฐีก็ถามนายปุณณะว่าเธอจะไปเที่ยวเล่นเทศกาลกับเขาไหม
นายปุณณะก็มาพิจารณาว่า ถ้าไปเราจะไม่มีข้าวกิน ไม่มีอาหารเลี้ยงครอบครัว
ก็เลยไม่ยอมไปเที่ยวเล่นในงานเทศกาล ขอไปทำงานแทน ก็เลยตกลงกับภรรยาว่าตนเองจะออกไปไถนาให้เศรษฐีแต่เช้า
แล้วก็ให้ภรรยาเตรียมข้าวปลาอาหารไปส่ง
คนสมัยก่อน
เวลาจะไถนาจะออกไปไถแต่เช้ามืด เพราะกลัวว่าวัวควายจะร้อน แล้วมาพักเอาตอนสาย ๆ
ก็จะปล่อยวัวควายไปกินหญ้า อาบน้ำ บางทีตกตอนเย็นก็มาไถอีกสักครั้ง
หรือบางทีก็พาวัวควายกลับ นี่นายปุณณะก็คิดทำงานหาทรัพย์มาเลี้ยงครอบครัว
เพราะความจนมาก ไม่อยากจะเที่ยวกับเขา ไปเที่ยวก็ไม่มีอะไรดี
คุณครูไม่ใหญ่ท่านบอกว่า มีแต่ความเพลินกับความเพลีย
นายปุณณะก็อยากจะทำงานหาทรัพย์
หลังจากที่นายปุณณะไถนาไปได้สักพัก ท่านว่าประมาณสักครึ่งไร่ ขณะนั้นพระสารีบุตรพระอัครสาวกเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ
ท่านพิจารณาด้วยญาณว่าจะไปโปรดใคร
ที่มีศรัทธาจะได้รับบุญใหญ่จากการที่ท่านออกจากนิโรธสมาบัติในครั้งนี้
ก็เห็นนายปุณณะกับภรรยา ก็เลยเดินไปใกล้ ๆ กับนายปุณณะไถนาอยู่
นายปุณณะเห็นพระก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใส นี่คือคนมีปัญญา
พอเห็นพระก็เกิดความเลื่อมใส ไม่ใช่ว่าพอเห็นพระไล่จับท่าน นั่นมันแปลก
นายปุณณะแม้เป็นคนจน
แต่หัวใจยิ่งใหญ่ เห็นพระแล้วเกิดความศรัทธาเลื่อมใส แต่ไม่มีไทยธรรมใด ๆ จะถวาย
พระสารีบุตรเองก็รู้ว่าไม่มีไทยธรรม แต่บอกนัยว่าให้ทำอย่างนี้ คือเดินไปใกล้ ๆ
ที่บ่อน้ำ นายปุณณะมีปัญญารู้ว่าสงสัยพระคุณเจ้าคงอยากจะใช้ไม้ชำระฟัน
ซึ่งไม้ชำระฟันถ้าเปรียบปัจจุบันก็คือแปรงสีฟัน ยาสีฟันนั่นแหละ
แต่สมัยก่อนเขาใช้ไม้เคี้ยวเพื่อบ้วนปากทำนองนี้
นายปุณณะก็เข้าไปกราบ
แล้วถวายไม้ชำระฟัน แล้วเอาผ้ากรองน้ำ ถวายน้ำบ้วนปาก ถวายด้วยจิตอันเลื่อมใสแก่ผู้ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ
แม้ไม่ได้ถวายข้าวปลาอาหาร ไม่ได้ถวายอะไรมากมาย
แต่ทำด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธา
มีความรู้สึกว่าเราโชคดีเหลือเกินที่มีพระมาโปรด
ไม่ใช่ว่าพากันไปวิ่งไล่จับพระแตกกระสานซ่านเซ็นไปหมด ถึงบอกว่าปัญญาคนแตกต่างกัน บางคนรู้สึกว่าเห็นพระ
เห็นสมณะแล้วเป็นมงคล หรือจะเอาวิบากกรรมมาใส่ตนเอง ซึ่งพระก็ไม่ได้ทำอะไร
ท่านก็อยู่ปกติของท่าน
ปรากฏว่า
หลังจากที่ได้ถวายไม้ชำระฟันและน้ำบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว
พระสารีบุตรก็รู้ด้วยญาณทัสนะของท่านว่า ภรรยาของนายปุณณะก็มีศรัทธาเหมือนกัน และกำลังนำอาหารเดินทางมาให้นายปุณณะ
พระสารีบุตรก็เดินทางสวนไปเลย ฝ่ายภรรยาของนายปุณณะก็เอาอาหารใส่ตะกร้าเดินถือมา
กะจะมาส่งให้สามี พอไปเจอพระสารีบุตรในระหว่างทาง ก็เกิดความศรัทธา คนเราบางครั้งมีอารมณ์ มีศรัทธาอยากจะทำบุญเหลือเกิน แต่ไม่มีไทยธรรม
ไม่มีเนื้อนาบุญ ไม่มีของจะทำบุญ ไม่มีพระมารับบาตร หรือบางครั้งมีไทยธรรม
แต่ไม่มีศรัทธา และไม่มีเนื้อนาบุญ บางคราวมีเนื้อนาบุญ แต่ไม่มีศรัทธา และไม่มีเนื้อนาบุญ
คิดว่ายังไม่พร้อม
แต่วันนี้ภรรยานายปุณณะมีพร้อมทุกอย่าง
1. ข้าวปลาอาหารที่เตรียมมา 2. ศรัทธาเกิดขึ้นในใจแล้ว 3.
พระอัครสาวกเบื้องขวามายืนต่อหน้าแล้ว
ภรรยานายปุณณะคิดว่าเป็นความโชคดีของเราแล้วหนอ
ก็นิมนต์เลยเพื่อใส่อาหารเข้าไปในบาตรของพระสารีบุตร
ซึ่งพระสารีบุตรก็เปิดฝาบาตรให้ภรรยานายปุณณะใส่บาตร
พอใส่ไปได้ครึ่งเดียวท่านก็ปิดฝาเพื่อจะได้เหลือให้นายปุณณะครึ่งหนึ่ง แต่ภรรยาของนายปุณณะก็มีปัญญา ก็อ้อนวอนพระคุณเจ้าว่า
พระคุณเจ้าอย่าโปรดดิฉันแค่เพียงชาตินี้เลย ขอให้โปรดไปภพชาติเบื้องหน้าด้วยเถิด
คืออยากจะถวายให้เต็มอิ่ม เต็มหัวใจ นี่ถวายระหว่างทาง
ถ้าในยุคปัจจุบันอาจจะถูกแย่งไปครึ่งหนึ่งก็ได้
หรือมันอาจจะเอาไปหมดก็ได้ คนยุคนั้นถ้าทำบุญก็อยากจะทำให้หมดหัวใจ
มีเท่าไหร่ก็ทำเต็มที่ แต่คนยุคนี้มันจะเอาไปหมดเลยนะ ไม่ให้เหลือเลย
เพราะฉะนั้นมันคนละยุค คนละสมัย
หลังจากภรรยานายปุณณะได้ถวายหมดไปแล้ว
เกิดความปลื้มปีติก็อธิษฐานจิตขอให้ได้บรรลุธรรมตามที่พระสารีบุตรได้บรรลุ
จากนั้นรีบเดินทางกลับไปทำอาหารมาให้นายปุณณะใหม่ ซึ่งกว่าจะเสร็จก็สายโด่ง
เลยเวลามามากแล้ว จึงรีบเดินทางเอาอาหารไปให้นายปุณณะ
ส่วนนายปุณณะไถนาจนเหนื่อยล้าแล้ว
ก็ปล่อยวัวออกไปหากิน ตนเองก็นอนพักอยู่ใต้ต้นไม้รอภรรยาเอาอาหารมาส่ง ในขณะที่ภรรยามาใกล้ถึงที่นายปุณณะนอนอยู่ก็กลัวว่าสามีจะโกรธแล้วบุญจะหกหล่น
จึงรีบตะโกนบอกนายปุณณะในทำนองว่า เอาบุญมาฝาก
ตนได้ถวายภัตตาหารแด่พระสารีบุตรในระหว่างทาง นางรีบชิงอธิบายขยายความ
กลัวสามีจะโกรธ แล้วบุญหก บุญหล่น
พอบอกไปอย่างนั้น
นายปุณณะก็นึกได้ว่าตนก็ได้ทำบุญกับพระสารีบุตรเช่นกัน
ต่างคนก็ต่างอนุโมทนาชื่นชมซึ่งกันและกัน จากนั้นนายปุณณะก็ได้รับประทานอาหาร
แล้วขอพักผ่อน นอนหนุนตักภรรยาหลับไป พอตื่นขึ้นมา
ก้อนดินที่ไถเอาไว้ทั้งหมดกลายเป็นทองคำ
ด้วยกำลังบุญที่ส่งผลในปัจจุบันชาตินั้นที่ได้ถวายทานกับพระสารีบุตรที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ
ทำบุญกับพระอรหันต์ เป็นบุญพิเศษเฉพาะตน
ในสมัยพระพุทธเจ้าของเรามีเพียงไม่กี่ครั้ง และเป็นบุญที่ถูกส่วนกันจริง ๆ
หลังจากที่เห็นก้อนดินเป็นทองคำ
ตนเองก็เกิดความรู้สึกว่า .. เราตาลายไปหรือเปล่า ถามภรรยาก็บอกว่าเห็นเหมือนกัน
เพื่อความแน่ใจก็ไปจับก้อนขี้ไถที่กลายเป็นทองไปแล้ว มาเคาะกับงอนไถดู
พบว่าเป็นทองคำจริง ๆ
นายปุณณะมีดวงปัญญาทีเดียว
เห็นว่าสมบัติที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดอันตราย เช่น ถ้าเราขนทองไปขาย
รวยภายในชั่วข้ามคืนเดียว ถูกตรวจสอบแน่นอน ฟอกเงิน ฟอกทองมาหรือเปล่า?
ทำไมรวยขึ้นมากะทันหัน ถ้าไปบอกว่าข้าพเจ้าไถนาเป็นทอง ใครจะเชื่อ ต้องไปโกง
ไปลักขโมยมา โดนตัดหัวแน่ หรือไปมีขบวนการฟอกเงินมา
เขาคิดกันแบบนั้นนะในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กษัตริย์เป็นใหญ่
นายปุณณะกับภรรยาฉลาดทีเดียว
รีบเอาก้อนดินซึ่งกลายเป็นทองไปหมดแล้ว เดินทางไปขอเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร กราบทูลความเป็นจริงทั้งหมด
บอกมีครึ่งกรีซ ถ้าเทียบก็ประมาณครึ่งไร่
พระเจ้าพิมพิสารก็สั่งให้ข้าราชบริพารเอาเกวียนไปขนทองมา ข้าราชบริพารเหล่านั้นก็มองว่าทองที่เกิดขึ้นเป็นของกษัตริย์
บอกว่าเราขนไปกัน ขนไปให้กษัตริย์ พอบอกว่าขนไปให้กษัตริย์ ทองนั้นก็กลายเป็นดินทันที
เรื่องเงินทองเหล่านี้
บางทีมนุษย์คิดกับพิสดารเอง ไปถกเถียงกันว่า รับได้ รับไม่ได้
เงินหรือทองเป็นเพียงอุปกรณ์สร้างบารมี ยกตัวอย่าง บางช่วงเราใช้หิน ใช้ดิน
ใช้เปลือกหอย สมมุติเป็นตัวแลกเปลี่ยน เป็นเงิน บางยุคใช้แร่เงินจริง ๆ แทนค่าเงิน
หรือบางยุคใช้โลหะตีเป็นสัญลักษณ์ บางยุคใช้กระดาษแทนค่าเงิน
แล้วต่อไปเราไม่ได้ซื้อขายกันด้วยกระดาษ เราซื้อขายกันด้วยตัวเลข
เรียกตัวเลขว่าเป็นเงิน คือเป็นแค่สื่อสำหรับเอาไว้สร้างบารมีเท่านั้นเอง
ไว้สำหรับใช้จ่าย ก็ไปเถียงกันจะเป็นจะตาย
อย่างบางยุคการสร้างศาลา
สร้างวัด ไม่ได้เสกเหมือนผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายที่เสกเพี๊ยงเดียวกลายเป็นวัดเลย
ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยน มีการใช้ทรัพย์พวกนี้ มันเป็นทรัพย์หยาบ
ก็เปลี่ยนจากทรัพย์หยาบให้เป็นทรัพย์ละเอียด เป็นอริยทรัพย์ เป็นบุญติดตัวพวกเราไป
ไม่ได้ไปยึดติดอะไรในทรัพย์ พวกนั้นก็ไปเถียงกันจะเป็นจะตาย
คนที่เถียงคือพวกที่ไม่ได้บริจาคหรอก
มันจะเอาให้ได้ พวกนี้มันแปลก ถึงบอกว่ามารคิดแบบมาร พระคิดแบบพระ
มันก็หาว่าเรายึด เราติด ไม่รู้ว่าใครยึดติดกว่ากัน
เรารับมาก็เอามาสร้างเสนาสนะ
สร้างบุญกัน ก็เห็นอยู่ว่าสร้างกันมาเยอะแยะ ไม่ได้แบกเอากระสอบข้าวไปแลกมา
ไม่ได้เอาแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเสาต้นนี้ขอร้อยกระสอบ แบบนั้นตายเลยนะ
แบกข้าวร้อยกระสอบแลกเสาต้นหนึ่ง มันเป็นแค่อุปกรณ์สร้างบารมีอย่างหนึ่ง
อยู่ที่ว่าเรามองมันเป็นอะไร อนาคตมันแปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
บางประเทศเขาไม่ใช้แล้วนะ เงินกระดาษ เงินเหรียญ
บางประเทศเขาใช้ตัวเลขกันแล้ว
ถ้าจำไม่ผิดประเทศสวีเดนที่เป็นประเทศแรกที่ไม่พกเงินกระดาษ เงินเหรียญ เขาใช้ระบบการ์ด ระบบตัวเลข เขาค้าขาย ซื้อขายกันด้วยตัวเลข
โอนตัวเลขกันไปมา มันก็แค่นั้น มนุษย์เอาไปเถียงกันจนเป็นเรื่องเป็นราวจนแตกแยกกันไป
หลังจากที่ข้าราชบริพารบอกว่าเป็นทองของกษัตริย์
มันก็กลายเป็นดิน พวกมหาดเล็กก็ตกใจ รีบไปรายงานกษัตริย์
กษัตริย์ก็ถามว่าเจ้าพูดว่าอย่างไรมันถึงกลายเป็นดิน มหาดเล็กก็บอกว่า ทองเหล่านี้เป็นสมบัติของพระเจ้าแผ่นดิน
พอพูดไปอย่างนั้นปุ๊บ มันกลายเป็นดินเลย บอกให้กลับไปพูดใหม่ว่า ทองของนายปุณณะ
ข้าราชบริพารก็เลยกลับไปที่นานั้น แล้วพูดว่าเรามาขนสมบัติของนายปุณณะ
ดินก็กลายมาเป็นทองคำอีก จึงขนไปกองไว้ที่หน้าท้องพระโรง ท่านบอกว่าสูงประมาณ 80
ศอก เป็นกองใหญ่เลย
กษัตริย์ก็ประกาศถามว่าใครมีสมบัติมากขนาดนี้
ก็ไม่มี พอไม่มีก็เลยแต่งตั้ง มอบฉัตรเศรษฐีสถาปนาให้นายปุณณะ จากคนจนคนหนึ่ง
กลายมาเป็นเศรษฐีของเมือง เปลี่ยนชีวิตด้วยบุญที่ทำด้วยความเต็มอกเต็มใจ
ด้วยความปลื้มปีติยินดี พอเป็นเศรษฐีก็รู้คุณค่าของบุญ ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
เพราะตนเองเคยจนมาก่อน รวยแล้วก็ไม่ลืม
มนุษย์บางคนพอบอกว่าให้ไปร่ำไปรวยนะ
ก็หาว่าเราสอนผิด ถ้าเราบอกว่า โยมกลับไปจนนะ แล้วใครจะเข้ามาทำบุญล่ะจริงไหม
มนุษย์นี่มันแปลก เหมือนทำท่าไม่เข้าใจ พอเราบอกให้ไปรวยก็หาว่าสอนผิด
ครั้นบอกให้ไปจนก็จะหาว่าเราแช่งชักหักกระดูกเสียอีก
คือบางทีถ้าไม่จนก็ไม่เห็นคุณค่าของความรวย
ลองจนถึงขั้นไม่มีเสื้อผ้าใส่ดูสิ คงอ้อนวอนอยากจะรวย
เพราะฉะนั้นคนที่ว่าเราสอนผิดเรื่องให้รวย ถ้าอยากจนก็อธิษฐานให้จนไปซิ
เราไม่ว่ากัน เราไม่ได้ไปขวางคุณเลย ไม่เคยไปขัดขวางหรือห้ามเลย ที่เราอยากจะรวยเพื่อเอามาสร้างบุญ
สร้างบารมี
หลังจากที่นายปุณณะเป็นเศรษฐีแล้วก็ไม่ประมาท
ได้ถวายภัตตาหารพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ตลอด 7 วัน
จากนั้นเมื่อได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
นายปุณณะหรือปุณณเศรษฐีพร้อมภรรยาและธิดา
คือนางอุตตราอุบาสิกาก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันกันทั้งครอบครัว
หลังจากที่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว
เศรษฐีที่นายปุณณะเคยไปรับจ้างตอนที่ยังจน ๆ อยู่ ซึ่งมีลูกชาย
ก็มาสู่ขอนางอุตตราอุบาสิกาให้ไปเป็นภรรยา
แต่ตระกูลเศรษฐีท่านนี้ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่เข้าใจเรื่องบุญ ยังหวงทรัพย์สมบัติ
ซึ่งนายปุณณะไม่อยากยกลูกสาวให้แต่งกับลูกชายเศรษฐีตระกูลนี้
แต่เศรษฐีก็ทวงบุญคุณทำนองว่า ตอนที่จนมาอาศัยเขา พอรวยขึ้นมาทำเย่อหยิ่ง
ขอแค่นี้ไม่ให้
นายปุณณะก็ระลึกถึงคุณก็เลยตัดสินใจยกลูกสาวให้ไปแต่งงานกับลูกชายเศรษฐีตระกูลนี้
แต่ตระกูลนี้ไม่ทำบุญ
ลูกสาวเป็นพระโสดาบันแล้ว เข้าใจเรื่องบุญดี พอแต่งงานออกเรือนไปอยู่กับสามีก็คิดอยากจะทำบุญ
ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้ออกพรรษาเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งเดือน
ก็ส่งข่าวไปถึงนายปุณณะผู้เป็นพ่อว่า
ให้พ่อตัดแขนขาเสียดีกว่าที่จะให้ลูกมาอยู่ในตระกูลแบบนี้ คิดถึงบุญเหลือเกิน
อยากจะทำบุญเหลือเกิน คนที่อยากจะทำบุญ
ก็คิดแต่จะทำบุญ เขาไม่ได้คิดไปเรื่องอื่นไกลเลย พอหัวใจเราเป็นนักบุญ
ก็คิดอยากจะทำแต่บุญ เพราะเรารู้คุณค่าของบุญว่าบุญอยู่เบื้องหลังความสุข
ความสำเร็จ แต่คนที่ไม่คิดทำบุญก็จะคิดแต่เรื่องบาป
คิดแต่เรื่องผลประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ว่าของเขาไป ก็แล้วแต่จะคิดอย่างไร
คนที่คุ้นกับมิจฉาทิฏฐิ ก็ทำแบบมิจฉาทิฏฐิ
นางอุตตราก็ส่งข่าวไปถึงปุณณเศรษฐีผู้เป็นพ่อว่าจะทำอย่างไรดี
ทีนี้ปุณณเศรษฐีก็สงสารลูกสาว
จะให้ลูกสาวหย่าร้างกับสามีก็ไม่ใช่ทางที่ถูกต้องดีงาม
ก็เลยหาทางออกให้ลูกสาวโดยส่งเงินไปให้ประมาณ 15,000 กหาปณะ
ให้นางเอาเงินไปจ้างหญิงคณิกา หรือหญิงงามเมือง
หรือหญิงโสเภณีเพื่อมาดูแลอุปถัมภ์สามีแทน แล้วตนเองจะได้มีโอกาสไปทำบุญ
คือยอมให้เงินลูกสาวไปจ้างคนมาดูแล
เมื่อนางอุตตราอุบาสิกาได้เงินจากพ่อมาแล้ว
ก็ไปจ้างหญิงงามเมืองชื่อนางสิริมาซึ่งเป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจจ์
เพื่อมาดูแลสามี ซึ่งสามีพอเห็นนางสิริมาก็ชอบถูกอกถูกใจ
เลยยอมให้นางอุตตราอุบาสิกาไปทำบุญ
ซึ่งนางได้นิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมพระสาวก มารับภัตตาหารที่บ้านตลอด ทำบุญ 15 วัน นางดูแลการปรุงภัตตาหารในครัวเอง
จนเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยเขม่าบ้าง
ขณะเดียวกัน
นางสิริมาเมื่อมารับจ้างอยู่ปรนนิบัติสามีของนางอุตตราอุบาสิกาที่บ้านนี้
ก็พลอยได้รับการดูแลอย่างดีไปด้วย
จนหลงคิดว่าตนเองเป็นภรรยาที่มีอำนาจใหญ่ในบ้านนี้
มองเห็นนางอุตตราอุบาสิกาเป็นภรรยาน้อยที่จะมาแย่งสามีตน
จึงคิดจะฮุบเอาสามีคนอื่นเป็นสามีของตน
และคิดร้ายต่อนางอุตตราอุบาสิกา นางสิริมาจึงลงจากปราสาทไปในครัว
เอาทัพพีตักเนยใสที่เดือดพล่านในหม้อทอดขนม แล้วก็เดินมุ่งไปหานางอุตตราอุบาสิกา
ด้วยความที่นางอุตตราอุบาสิกาบรรลุโสดาบันแล้ว
และแผ่เมตตาเป็นปกติ เมื่อเห็นนางสิริมาเดินมุ่งประสงค์ร้ายมาเช่นนั้น จึงแผ่เมตตาไปถึงนางว่า
หญิงสหายของเราทำอุปการะแก่เรามาก
จักรวาลก็แคบเกินไป พรหมโลกก็ต่ำนัก ส่วนคุณของหญิงสหายเราใหญ่มาก
ก็เราอาศัยนางนั่น จึงได้เพื่อถวายทานและฟังธรรม
ถ้าเรามีความโกรธเหนือนางสิริมานั้น เนยใสนี้จงลวกเราเถิด ถ้าไม่มี อย่าลวกเลย คือตั้งสัจจอธิษฐานขึ้นมาในใจ
ถ้าโกรธแม้นิดเดียวก็ขอให้เนยใสที่ร้อน ๆ นี้ลวก แต่ถ้าเราไม่มีความโกรธ
ก็อย่าให้มันลวกเราได้เลย
เนยใสซึ่งเดือดพล่านที่นางสิริมานั้น
รดลงเบื้องบนนางอุตตรานั้น ได้เป็นเหมือนน้ำเย็น นี่กำลังเดือด ๆ อยู่
ก็เป็นเหมือนน้ำเย็นด้วยกำลังบุญการแผ่เมตตา ปรารถนาดี เหมือนเป็นน้ำเย็นเลย
แต่พวกเราไม่ต้องไปลองของนะ ไม่ใช่ว่าให้ลูกหลานต้มน้ำร้อน
แล้วเรามานั่งแผ่เมตตาจิต แล้วให้ลูกหลานเอาน้ำร้อนนั้นมาราด อย่าทำอย่างนั้นนะ
กระแสจิตของพวกเรายังไม่ถึงขนาดนั้น แต่ถ้าเราจะลองก็เอาน้ำไม่ร้อนมาก แค่พออุ่น ๆ
ถ้าราดแล้วมันเย็น แสดงว่ากระแสใจของเราเริ่มดีขึ้น
ลำดับนั้น
พวกทาสีของนางอุตตราเห็นนางสิริมาตักเนยใสเข้ามา ทีแรกนึกว่ามันไม่ร้อน
แต่พอรู้ว่ามันเป็นของร้อน ก็พากันรุมจับ
รุมตี จนกระทั่งนางสิริมาล้มลงไป แต่นางอุตตราก็ห้าม แต่ไม่สามารถห้ามไว้ได้ เพราะพวกทาสีลูกน้องรักเจ้านาย
ใครมาทำร้ายเจ้านายก็พากันทุบตี นางสิริมาก็รู้ว่าตนทำผิดท่าไปเสียแล้ว
ไปทำร้ายเจ้านายตัวจริงของเขา ขนาดตนเอาเนยใสร้อน ๆ มาราดใส่
นางอุตตรายังไม่ได้รับอันตรายเลย แสดงว่ามีของขลังของดี ถ้าเราไม่กราบขอขมา
ไม่ขอโทษ ศีรษะเราคงจะแตก 7 เสี่ยงตายเป็นแน่ ก็เลยไปขอให้นางอุตตรายกโทษให้
แต่นางอุตตราอยากจะดึงนางสิริมาเข้ามาเป็นนักบุญ จึงบอกนางสิริมาว่า เราไม่ถือโทษโกรธเคืองหรอก
ถ้าจะให้ดีต้องไปขอโทษกับพ่อทางธรรมของเราด้วย คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่นางสิริมาตอนนั้นไม่เข้าใจเรื่องบุญเลย เคอะเขินไม่กล้าเข้าไปใกล้พระพุทธเจ้า
จนกระทั่งนางอุตตราต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้
เมื่อพร้อมแล้วก็นิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกมารับภัตตาหารที่บ้าน
แล้วก็ให้นางสิริมามีโอกาสได้ถวายทาน มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งเมื่อมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จากโสเภณีก็มีบุญบารมีได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
ทีนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถามนางอุตตราว่า
ตอนที่นางสิริมาตักเนยใสร้อน ๆ ราดใส่ คิดอย่างไร นางอุตตราตอบว่า หม่อมฉันคิดอย่างนี้ว่า จักรวาลก็แคบเกินไป พรหมโลกก็ต่ำนัก
ส่วนคุณของหญิงสหายของหม่อมฉันใหญ่มาก เพราะหม่อมฉันอาศัยเขา
จึงได้เพื่อถวายทานและฟังธรรม ถ้าหม่อมฉันมีความโกรธเหนือนางนี้
เนยใสที่เดือดพล่านนี้จงลวกหม่อมฉันเถิด ถ้าหาไม่แล้ว ขออย่าลวกเลย
แล้วได้แผ่เมตตาไปยังนางสิริมานี้ พระเจ้าข้า
พระศาสดาตรัสว่า ดีละ
ดีละ อุตตรา การชนะความโกรธอย่างนั้น สมควร ก็ธรรมดาคนมักโกรธ
พึงชนะด้วยความไม่โกรธ คนด่าเขา ตัดพ้อเขา พึงชนะได้ด้วยความไม่ด่าตอบ
ไม่ตัดพ้อตอบ คนตระหนี่จัด พึงชนะได้ด้วยการให้ของตน คนมักพูดเท็จ
พึงชนะได้ด้วยคำจริง ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
พึงชนะคนโกรธ
ด้วยความไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่ดี
ด้วยความดี
พึงชนะคนตระหนี่
ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหล
ด้วยคำจริง
พระคาถานี้ไม่ได้ให้เรางอมืองอเท้า
หมายถึงให้เราฝึกสภาวใจของเรา อย่าเป็นคนมักโกรธ บางทีมีข่าวสารมาสารพัด
เรารู้สึกโกรธ อย่างนี้ไม่ได้ ดังนั้นพึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี
เรารู้ว่าเขาไม่ดีเราก็ต้องเอาชนะด้วยความดี เช่น เขาจับพระเราสึกไป 5 รูป
เราก็ไปหามาบวชให้ได้ 50,000 อย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่ามันทำกับเราแบบนี้
เราต้องไปจัดการมัน อย่างนี้ก็ไม่ใช่นะ
นี้คือวิธีการแก้ไขนะ
พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ เช่น เอาตระหนี่ เขาไม่ให้ เขาจะยึดสมบัติพระพุทธศาสนา
เราก็ต้องเป็นคนให้มากกว่า เราก็เพิ่มเข้าไป เขายึดไปร้อย เราก็ให้เพิ่มเป็นพัน
เขายึดไปพันเราก็เพิ่มเป็นหมื่น นี่คือพึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
โดยเฉพาะนักแชร์ทั้งหลาย
แปลกดีนะ เวลาเราเทศน์สอน เขาแชร์กัน 2-3 คน แต่ที่เขาด่ามา พากันแชร์เป็นหมื่น
เป็นแสน มันผิดวัตถุประสงค์นะ อันไหนที่เป็นของดี ของจริงอย่างธรรมะ
เราก็แชร์กันไปให้ได้สักล้าน มันถึงจะสู้กับบาปได้ อย่าไปหลงทางกัน
ถ้าเราไปตามทางเขา เราก็แพ้เขา ไปเข้าทางของเขาเลย
8.เรื่องจิตของบุคคลผู้อยู่ด้วยเมตตาย่อมตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็ว
9. ย่อมมีหน้าผ่องใส
เหมือนผลตาลสุกหลุดจากขั้วฉันนั้น
คือเวลาเราเมตตาปรารถนาดี
หน้าตาจะผ่องใส อ่อนกว่าวัย พวกเราบางคนอายุ 40-50 แล้วดูไม่ออกนะ หน้าอ่อนกว่าวัย
ไม่ใช่เขาไปดึง ไปเย็บ ไปร้อยไหมอะไรนั่นก็อีกแบบหนึ่ง แบบนั้นแม้รอยไหมอย่างไร
ถ้าเป็นคนมักโกรธเดี๋ยวก็ย่นอีก แต่คนที่มีเมตตา
ปรารถนาดีจะเป็นคนมีใบหน้าอ่อนกว่าวัย ดูหน้าตาผ่องใส แม้อายุ 70-80 หน้ายังตึง
10. ชื่อว่าความหลงตายของผู้อยู่ด้วยเมตตาไม่มี
หลงตายก็คล้าย ๆ หลับแล้วไปเลย เป็นประเภทหลงละเมอเพ้อพกตาย
11. บุคคลผู้อยู่ด้วยเมตตา
เมื่อไม่บรรลุพระอรหัต อันเป็นคุณวิเศษที่ยิ่งกว่าเมตตาสมาบัติ
จุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปเกิดในพรหมโลก เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น
นี้คืออานิสงส์การแผ่เมตตา
11 ข้อ ดังนั้นหากเราอยากจะมีชีวิตที่ตื่นเป็นสุข หลับเป็นสุข เป็นที่รักใคร่ หน้าอ่อนกว่าวัย
มีความสดใสร่าเริง ต้องฝึกแผ่เมตตา ครูไม่ใหญ่ถึงบอกพวกเราให้เมตตา คือช่วงนี้ให้พวกเรามาสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
มาเวียนประทักษิณรอบมหาธรรมกายเจดีย์กันเยอะๆ นั่งสมาธิแผ่เมตตากันเยอะ ๆ นี่คือแนวทางที่จะทำให้กระแสเมตตาของเรา
ไปทำให้พลิกสถานการณ์ ทำให้พระพุทธศาสนากลับมาเจริญรุ่งเรือง คนภัยพาลแพ้ภัยตนเอง
ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาของพวกเราทุก ๆ คน
วันนี้ขออนุโมทนาสาธุการ
ขอให้บุญรักษา ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุข ความเจริญ
มุ่งมาดปรารถนาสิ่งใดในทางที่ชอบ ประกอบไปด้วยกุศล
ขอความปรารถนานั้นจงเป็นผลสำเร็จ ขอให้มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงพระธรรมกาย
ติดตามมหาปูชนียาจารย์สร้างบารมีไปถึงที่สุดแห่งธรรม จงทุกท่านทุกประการเทอญ
ขอเจริญพร
(สกู๊ป...บวชทดแทนคุณ ไม่มีคำว่าสายเกินไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น