วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561


โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2561

พระมหาทรงวุฒิ ชยวุฑฺโฒ

แสดงธรรมเรื่อง การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์

ห้องSPD 4 สภาฯ

****************************

ยังอยู่ในบุญกันอยู่หรือเปล่า เราต้องอยู่ในบุญตลอดนะ ในช่วงนี้มีพี่ๆน้องๆของเราเดินทางกลับบ้านเก่ากันมากเลย  หลวงพี่อยู่ที่ตึกสงฆ์เห็นรายชื่องานศพหลายงาน พระเขาลงชื่อกันเต็ม ตอนนี้ก็สังเกตว่าญาติโยมส่วนใหญ่  ทั้งผู้นำบุญ  บางทีก็เป็นเจ้าภาพ ก็เอาร่างของตัวเองมาไว้ใกล้ๆที่วัดกลางคลองสาม  พระก็ไปกันเยอะมากเลย 50 รูป บางงานก็เป็น 100 รูป


คนเราทุกคนเกิดมาก็หนีความตายไม่พ้น โบราณจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ดอกเห็ดเวลาโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินมันก็นำฝุ่นขึ้นมาด้วย เราเกิดมาก็เหมือนกัน มันก็นำความแก่ ความตายมาสู่ตัวเราเช่นกัน เพราะฉะนั้นอย่าประมาทต้องรีบเร่งสั่งสมบุญ ทำบุญให้ได้ทุกวัน เพราะว่าความตายไม่มีนิมิตหมาย  เราจะตายที่ไหน เมื่อไหร่ ในสถานที่ใด เราไม่รู้  กำหนดไม่ได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ขณะที่เรายังมีอายุขัยให้รีบเร่งสร้างความดีให้เต็มที่

หลายๆคนแจ้งความจำนงค์ไว้เลยว่า จะเอาร่างของตัวเองไว้วัดกลางคลองสามเพราะพระจะได้มาเยอะๆ  ถ้าไว้ในกรุงเทพฯ อาจจะเหลือ 50 รูป ถ้าไว้ต่างจังหวัดอาจจะเหลือ 10 – 20 รูป 1- 2 รถตู้ พวกเราต้องวางแผนไว้เอาไว้วัดไหนดีนึกๆไว้ก็แล้วกัน  ก็คงไม่ต้องถึงกับไปจองศาลาไว้ก่อนนะ  ...

เหมือนหลวงพ่อบอกให้เราอยู่ในบุญ ให้เราหมั่นสั่งสมบุญ อยู่ในบุญ ให้ใจเป็นบุญ แต่ว่ามันก็จะมีบางสิ่งบางอย่างทำให้เราไม่ได้อยู่ในบุญ หลวงพ่อบอกให้เราทำธรรมะตลอดเวลา หมั่นตรึกธรรมะ ให้ใจอยู่ในบุญ ทำอย่างถูกหลักวิชชา จะมีความสุขความบริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้น   ต้องทำตลอดเวลาคือทุกอิริยาบถ  ยืน เดิน นั่ง นอน นึกถึงองค์พระ นึกถึงดวงไปด้วย เราทำแบบนี้ได้ชื่อว่าเราทำสมาธิ แล้วทำให้ใจของเราไม่ห่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้บุญตลอดเวลาเลย

แต่ว่ามันก็มีบางสิ่งบางอย่าง โดยเฉพาะในยุคนี้มันดึงใจของเราออกนอกตัว เวลา 11.00 น.พระอาจารย์แต่ละรูปขึ้น Stage รับถวายอาหารจากพวกเรา คณะสงฆ์ฉันภัตตาหาร  ญาติโยมไปทานข้าว โยมทานไม่นานกลับมาแล้ว ส่วนพระ...หลวงพ่อให้ฉันช้าๆไม่ต้องรีบ ท่านบอกคำหนึ่งให้เคี้ยว 30 ครั้ง  ท่านให้เคี้ยวอาหารให้ละเอียด คนไหนกินเร็ว ตายเร็ว กินช้า ตายช้า ระบบในร่างกายเราทำงานหนัก พอพระฉันนาน โยมก็มาก่อน มารอรับพรพระ มาถึงก็เปิดไลน์ กดโทรศัพท์ สิ่งนี้มันดึงใจเราออกนอกตัว

จนกระทั่งมีคนผูกเรื่องเป็นนิทาน หญิงสาวขอพรจากผู้วิเศษ มีหญิงสาวคนหนึ่งรักสามีของเขามาก และอยากให้สามีรักเขาด้วย และรักตลอดไป เขาทราบว่ามีผู้วิเศษท่านหนึ่งสามารถดลบันดาลให้เธอสมความปรารถนาได้  เธอจึงไปขอพรจากผู้วิเศษ ผู้วิเศษให้เธอขอพรได้ 3 ข้อ

 1.ให้สามีรักเธอมาก ๆ  เอาใจใส่เธอมาก ๆ

2.ให้ความสำคัญกับเธอมากที่สุด 

3.ให้พาเธอไปด้วยในทุกแห่งหน

ผู้วิเศษบอกว่าพรที่เธอขอจะสำเร็จได้ง่าย ๆ เลย  ผู้วิเศษจึงเสกเธอกลายเป็นโทรศัพท์มือถือไอโฟนรุ่นใหม่  



( เปิด MV ใช้โทรศัพท์มือถือแต่พอดี จาก youtube  ) 


                  เราใช้โทรศัพท์ก้มหน้า ก้มตาจนไม่ได้มองผู้อื่นเลย แต่พอเราเงยหน้าจากโทรศัพท์ก็จะเห็นคนอื่นเราก็จะมีสังคมรอบข้าง ยุคนี้สังคมก้มหน้าทั้งนั้นเลย

ตัวหลวงพี่เป็นพระ จะใช้โทรศัพท์ต้องระมัดระวัง ในที่สาธารณะไม่ค่อยกล้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้ เวลาจะใช้ก็ต้องเป็นที่ส่วนตัวนิดหนึ่ง ในที่สาธารณะก็ใช้ไม่นานแล้วรีบเก็บ


        ( เปิดสื่อ Are we truly connected to each other ? ) 

              เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี เราจะลืมเชื่อมต่อกับคนรอบข้างเรา ฉะนั้นก็ต้องใช้แต่พอดีนะ ถ้าเราใช้มากก็เท่ากับว่าเราส่งใจออกนอกตัวมาก ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้มันดึงใจเราออกนอกตัว

เราจะเห็นได้ชัดในยุคสมัยของหลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านได้เคยทำนายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เอาไว้ ในปี พ.ศ. 2497 – 2498 ช่วงนี้ ในยุคนั้นประเทศไทย มีการถ่ายทอดทีวีออกอากาศครั้งแรกในเมืองไทยเป็นข่าวใหญ่ มีลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ได้นำทีวีมาที่วัดปากน้ำแล้วก็มาเปิด ซึ่งในช่วงแรกที่เปิดจะเป็นข่าวสาร พอจบข่าวมีละคร มีหนัง พอหลวงปู่วัดปากน้ำท่านเห็นท่านตบเข่าเลย และท่านพูดออกมาว่า ฉิบหายใหญ่   ลูกศิษย์จึงสงสัย...คิดว่าต้องดีซิ..รัฐบาลตั้งใจให้คนได้รู้ข่าวสาร เหตุการณ์บ้านเมืองจะได้รู้เท่าทัน

แต่หลวงปู่วัดปากน้ำท่านมองไกลมากกว่านั้น ท่านบอกเลยว่า..สิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสีย ท่านบอกว่ามารส่งอบายมุขเข้ามาถึงห้องนอนเลย  ท่านบอกว่า...การดูข่าวสารก็ยังดีได้ความรู้ ได้สาระ แต่ดูหนังดูละครเป็นอบายมุข คือปากทางแห่งความเสื่อม หนังละครสมัยก่อนเวลาเขาจะดูการละเล่นเขาต้องไปที่วัด  ดูโขน ดูลิเก เขามีการแสดงที่วัด  แต่ก่อนจะดูก็ฟังพระแสดงธรรมก่อน หลังจากนั้นจึงไปดูโขน ดูลิเก เขาบอกว่าอย่างนี้พอสู้กัน แต่พอมีทีวีแล้วคนไม่ต้องมาที่วัด ดูที่บ้าน ท่านบอกว่าตอนนี้อบายมุขมันเข้าถึงห้องนอนเสียแล้ว เข้าถึงมุ้งแล้ว เสียท่าเขาเสียแล้ว

และก็เป็นจริง ทำให้คนยุคนั้นห่างวัด คนเข้าวัดน้อยลง คนฟังธรรมก็น้อยลง สังเกตว่าบ้านคนที่ฐานะดี ปกติตอนเช้ามาใส่บาตร ตั้งแต่มีทีวีเข้ามาไม่ตื่นมาใส่บาตร เหมือนพระพุทธศาสนาโดนทุบเสบียง พอไม่ใส่บาตรก็ไม่คุ้นกับพระ ไม่ได้เข้าวัดฟังธรรม ห่างกันไปเรื่อยๆ นี่ห่างมา 60 กว่าปีแล้ว

โชคดีทางวัดเราได้ทำทีวีสีขาว ช่อง DMC  แต่ตอนนี้เป็นช่อง GBN  ให้ลูกๆ หลวงพ่อได้ดูโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยากันทั่วทั้งโลก  บางบ้านก็มีนะแต่ลืมเปิดเป็นปีเลย ไปดูช่องอื่นเพลิน ตอนนี้ช่อง GBN บางคนไม่รู้จักด้วยซ้ำ   ไม่เคยดู

นึกถึงเมื่อก่อนช่องทีวีมีแค่ 3.. 5 ..7 ..9.. และช่อง 11 มี 5 ช่อง หลวงปู่ยังบอกว่าฉิบหาย แล้ว  ยุคนี้มีทีวีดาวเทียมมีเป็น 100 ช่อง ดูทีวีแล้วเบื่อ ก็เข้าอินเตอร์เนต อ่านข่าวบันเทิงดาราไปเรื่อย และก็ดู youtube ต่อ  มีหนังมีละคร ในเรื่องของยอดวิว การที่คนเข้าไปดู youtube  ถ้าเป็นของต่างประเทศเป็นล้านวิว หลวงพี่ก็เคยไปดูที่หลวงพี่เทศน์ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาที่ผ่านมา ก็อยากจะดูว่าเราเทศน์เป็นอย่างไร เพราะหลวงพี่ก็เป็นเหมือนนักเรียนอนุบาล ตอนนี้ก็มาเป็นอาจารย์ฝึกเทศน์ เข้าไปดูเพื่อมาปรับปรุง ได้เห็นยอดวิวของตัวเอง  700 วิว โลกเรานี่มันกามภพนะ  คนติดสื่อต่าง     กามราคะ กามารมณ์ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ไปเรื่อย แต่ว่ามาดูสื่อธรรมะ 700 วิว แต่สื่อ Top ของโลก 700 ล้านวิว เขามากกว่าเราล้านเท่า ก็ไม่แน่สักวันอาจจะมีคนดู GBN พันล้านวิวก็ได้ ในยุคที่พระพุทธศาสนาสว่างไสวพวกเราต้องช่วยกัน

หลวงพ่อท่านเคยอุปมาไว้ดีมากเลย   ท่านบอกว่า... แสงยิ่งเดินทางออกไปไกลจากต้นกำเนิดมากเท่าไรก็ตามความสว่างจะยิ่งลดลง ความมืดก็จะมากยิ่งขึ้น เหมือนเราส่องกระบอกไฟฉายความสว่างจะมากที่ต้นแหล่ง  แต่พอแสงเดินทางไปไกล  ความสว่างมันลดลง พอความสว่างลดลง  ความมืดเข้าครอบงำ .... ใจของคนเราก็เหมือนกัน   เราส่งใจออกห่างจากกลางตัว  ออกนอกตัวไกลเท่าไร  กิเลสยิ่งครอบงำ   ใจยิ่งอ่อนแรง ใจยิ่งอ่อนกำลัง ถ้าเราอยากให้ใจของเรามีกำลัง ไม่อยากให้ถูกกิเลสเข้าครอบงำ เราต้องหมั่นนำใจไว้ที่กลางตัว   เมื่อใดก็ตามมัวนั่งเล่นโทรศัพท์ไม่ได้ตรึกธรรมะ  กิเลสจะครอบงำ   ถ้ากิเลสครอบงำบ่อยๆ อาจจะเสียท่าเขาก็ได้

เวลาเราส่งใจออกนอกตัวกิเลสครอบงำทันที  อย่างสุภาพสตรี  เวลาเราเห็นกระเป๋าสวย ๆ ใจเราอยู่ที่ไหน  อยู่ที่กระเป๋านะ  อยู่ที่กลางตัวไม่เสียสตางค์ เหมือนเวลาเราโกรธใครก็ตามใจเราอยู่ที่หน้าเขา อยากจะชกหน้าเขาสักที แต่ถ้าใจอยู่ที่ตัวไม่โกรธเพราะใจสบายๆ ฉะนั้นเราต้องรู้เท่าทัน

เมื่อใดก็ตามเราไปติดเทคโนโลยีพวกนี้มากๆ เท่ากับว่าเราส่งใจออกนอกตัว แต่เรายังจำเป็นต้องใช้อยู่ก็ใช้ให้พอดีเท่าที่จำเป็น ซึ่งข่าวสารความรู้ในโลกนี้มีเยอะแยะ ถ้าเราจะเรียนรู้ศึกษามันไม่หมดหรอก เราก็ศึกษาเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ คิดว่าจะเป็นประโยชน์ ให้ดีที่สุดก็ศึกษาในเรื่องของความรู้ ความจริงของชีวิต ในเรื่องของพระพุทธศาสนาจะดีที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าส่งใจไปนอกตัวบ่อย ๆ ต้องหมั่นนำใจไว้ที่กลางตัว ใจเราจะมีความสุข ใจอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ซึ่งเป็นแหล่งความสุข ความสำเร็จของเรา

หลวงพ่อท่านให้โอวาทไว้ว่า ที่ไว้วางใจมีที่เดียวในโลกคือ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 พวกเรานักเรียนโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา เรามารู้จักศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ถือว่าเราโชคดีมาก  ก็ต้องหมั่นนำใจของเรามาใจจรดอยู่ที่กลางตัว  เมื่อเรา ฝึกบ่อย ๆ ทำบ่อย ๆ เมื่อถึงเวลาที่เราไปนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมจะเป็นอุปการะทำให้ใจของเราหยุดนิ่ง  ดิ่งเข้าสู่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ได้ง่าย

การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์


       ในวันนี้ ถ้าเราจะนับทางจันทรคติ วันนี้เป็นวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 เมื่อวานหลวงพี่ไปเวียนประทักษิณที่หน้าพระมหาธรรมกายเจดีย์ตอนค่ำๆ นั่งรถสองแถวกลับมาก็มองดวงจันทร์ ดวงจันทร์ก็ยังเป็นเสี้ยวอยู่ อีก 9 วันก็เป็นวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ 1 เดือนมี 1 ครั้ง

เดือนที่ผ่านมาเราได้จัดงานวันวิสาขบูชามีการเวียนประทักษิณที่รอบสภาธรรมกายสากล ยังปลื้มกันอยู่นะ เราเดินกันเป็นระเบียบเป็นแถวเป็นแนว เป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงเป็นวันที่พระชนะมาร ในเดือนนี้วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำตรงกับวันพุธที่ 27 มิถุนายน อีก 9 วันเราก็มาสั่งสมบุญใหญ่กันที่วัดพระธรรมกายหรือวัดใกล้บ้านก็ได้

วันนี้จะเทศน์เรื่องของพระจันทร์วันเพ็ญ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างบุญบารมีของพระบรมโพธิสัตว์ ก็คืออดีตชาติของพระพุทธเจ้าพระองค์เรานี้คือพระสมณโคมดมพุทธเจ้า

มาดูดวงจันทร์ก่อน ดวงจันทร์ที่มีสีคล้ำๆ ในสมัยที่วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญก้าวหน้าเรายังไปไม่ถึงดวงจันทร์ เขาใช้กล้องโทรทรรศน์(กล้องส่องดูดาว)กำลังขยายสูงๆส่องไปดู ส่วนที่สีคล้ำนักดาราศาสตร์ในยุคนั้นสันนิษฐานว่าเป็นทะเล มหาสมุทร เมื่อถึงยุคที่เขาส่งยานอวกาศไปดวงจันทร์ไปเก็บหินมา มันไม่ใช่ทะเล สีคล้ำที่เราเห็นเป็นหินลาวาจากภูเขาไฟที่ระเบิดและหลอมละลายไปทั่วดวงจันทร์

ดวงจันทร์โคจรรอบโลกจะเห็นด้านที่มีกระต่ายให้เราเห็นด้านเดียวเพราะว่าดวงจันทร์โคจรรอบโลก เมื่อต้นปีมี super  full moon  ดวงจันทร์โตขึ้นประมาณ 7 % สว่างขึ้น 16 % ดวงจันทร์เข้ามาใกล้โลกประมาณ 350,000 กิโลเมตร ซึ่งปกติประมาณ 400,000 กิโลเมตร วงโคจรเข้ามาใกล้ๆเป็นวงรี อีกด้านนักบินยานอวกาศถ่ายรูปมาให้เราดูส่วนที่สีคล้ำ พื้นที่มีประมาณ    30 % อีกด้านมีส่วนคล้ำประมาณ 2 %

ในเรื่องนี้เกี่ยวกับการสร้างบุญบารมีของพระโพธิสัตว์อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ มีจารึกไว้ในพระไตรปิฎก เรื่องของ สสบัณฑิต ผู้สละชีวิตเป็นทาน เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสมัยต้นกัป คือกัปที่เราอยู่นี่เอง เป็นการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ของเรา ภายหลังท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสมณโคดม

( เปิด MV เพลงเกิดมาสร้างบารมี )

สมัยพุทธกาล มีเศรษฐีท่านหนึ่งปรารภจะถวายบริขาร คือเครื่องใช้สอยที่จำเป็นของพระภิกษุ ถวายแด่คณะสงฆ์จำนวน 500 รูป โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระประมุข นิมนต์มาฉันภัตตาหารที่เรือนของตน 7 วันติดต่อกัน สมัยก่อนเขาทำบุญกันแบบนี้  ทำบุญครั้งหนึ่งนิมนต์พระ 500 รูป แล้วก็ติดต่อกัน 7 วันด้วยในพระไตรปิฎกได้จารึกไว้

ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี สร้างวัดพระเชตวันใช้ทรัพย์ไป 54 โกฏิ สร้างอย่างประณีตถวายไว้ในพระพุทธศาสนา ท่านไปวัดทุกวัน ไม่เคยไปมือเปล่า และยังถวายทานที่บ้านตัวเองทุกวัน นิมนต์พระไปฉันวันละ 500 รูป

มหาอุบาสิกาวิสาขา ผู้สร้างวัดบุปผาราม ใช้ทรัพย์ไป 27 โกฏิ 1 โกฏิ คือ 10 ล้าน นางไปวัดไม่เคยไปมือเปล่ามีของไปถวายพระ เณรตลอด ที่บ้านของนางก็นิมนต์พระไปฉันภัตตาหารวันละ 500 รูป

ความดีที่ท่านเศรษฐีได้ทำก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับพระเจ้าปเสนทิโกศล วันหนึ่งท่านยืนอยู่ที่พระราชวัง เห็นพระเดินเต็มไปหมดเป็น 1,000 รูป ได้ถามทหารว่าพระท่านไปไหนกัน ทหารบอกว่า พระท่านไปฉันภัตตาหารที่บ้านท่านเศรษฐี 4 บ้าน บ้านละ 500 รูป บ้านอนาถปิณฑิกเศรษฐี  บ้านนางวิสาขา  บ้านจูฬอนาถปิณฑิกเศรษฐี บ้านนางสุปปวาสา เฉพาะ 4 บ้านนี้นิมนต์พระไป 2,000 รูป หลวงพ่อท่านตั้งใจให้มีพระเป็นหมื่นรูปเพื่อเผยแผ่งานพระพุทธศาสนาให้กว้างไกล

พระราชาเกิดแรงบันดาลใจที่เห็นท่านเศรษฐีทำบุญ พระราชาจึงไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยากทำบุญบ้าง พระราชานิมนต์พระ 1,000 รูปนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นประมุข เป็นเวลา 7 วัน ครบ 7 วัน พระราชากราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ขอพระองค์ท่านส่งพระภิกษุมาฉันภัตตาหารที่พระราชวังวันละ 500 รูป ขอกราบอาราธนาพระพุทธเจ้ามาเป็นประมุขด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ปกติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดสรรพสัตว์ ท่านจะไม่ไปที่ใดที่หนึ่งเป็นประจำ พระราชาจึงนิมนต์วันละ 500 รูป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าปกติพระภิกษุต้องมีกิจนิมนต์อื่นบ้าง ในที่สุดจึงส่งพระอานนท์มาเป็นตัวแทน แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทำได้ไม่กี่วัน.. ลืม  เพราะศรัทธาไม่มั่นคง พวกเราทำความดีก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นทำตามนะ

นางสิริมา หญิงโสเภณีผู้ได้บรรลุโสดาบัน มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อบรรลุธรรมแล้วได้นิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยหมู่สงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน แล้วตั้งแต่นั้นมานางก็ได้ตั้งภัตตาหารถวายพระภิกษุทุกวัน วันละ 8 รูป ถวายอาหารอย่างประณีตที่บ้านของนาง ถวายล้นบาตร อาหารที่พระ 1 รูปรับมาพอขบฉันสำหรับพระ 4 รูป นางใจใหญ่มากนะ

ถ้าพูดถึงพวกเราก็มีบ้านโยมบางบ้าน ก็นิมนต์พระมาทำบุญที่บ้านทุกเดือนก็มี บางคนทุกสัปดาห์ก็มี บางที่เป็นโรงงานก็นิมนต์พระไปบิณฑบาตเยอะแยะ หลายๆที่พวกเราทำบุญกันจนคุ้น หรือบางท่านก็มาทำบุญที่วัด เวลาพระไปที่บ้านก็สวดมนต์ให้พร เทวดาก็ดีใจ

บ้านหลวงพี่ก็เหมือนชาวโลกทั่วไป จำได้เลยว่าตั้งแต่หลวงพี่เกิดมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้บ้านที่นครปฐม 40 กว่าปีทำบุญบ้าน 2 ครั้ง ผิดกับชาววัดพระธรรมกาย ทำบุญครั้งแรกตอนที่พี่ชายบวชประมาณปี 2523 พอลูกชายบวชแม่ก็อยากทำบุญ นิมนต์พระมา 9 รูป มาทำอีกครั้งตอนที่หลวงพี่บวชแล้ว ปี 2550 ตอนนั้นแม่อายุครบ 72 ปี (6 รอบ) หลวงพี่นิมนต์พระเพื่อนไป 9 รูป หลวงพี่เป็นประธานสงฆ์เองโยมแม่ดีใจมาก  พระไม่เคยกลับบ้าน และแม่ก็ตั้งใจว่าแม่อายุครบ 7 รอบ 84 ปีก็คือปีหน้า จะทำบุญบ้านอีก แต่แม่ก็เสียไปก่อน  ก็เลยทำบุญแค่ 2 ครั้ง แล้วดูคนข้างบ้านก็ไม่เคยเห็นนิมนต์พระมาทำบุญที่บ้านเลย ต่างกันกับชาววัดพระธรรมกายมาก

     

ในสมัยพุทธกาลท่านเศรษฐีนิมนต์คณะสงฆ์ 500 รูป ถวายเครื่องอัฐบริขาร ข้าวของเครื่องใช้พระภิกษุสงฆ์ อย่างประณีตพอวันที่ 7 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พร ดูก่อนอุบาสกควรที่ท่านจะเกิดความปีติยินดีอย่างยิ่ง เพราะขึ้นชื่อว่าการทำทานนี้เป็นวงศ์ตระกูลของบัณฑิตมาแต่โบราณกาล แม้บัณฑิตเก่าก่อนนั้นก็ได้บริจาคมาแล้วถึงกับทำทานหมด แม้แต่ชีวิตของตนก็ตาม

ท่านเศรษฐีได้ฟังจึงกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แสดงธรรม  เมื่อครั้งอดีตกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงธรรมในยุคของพระเจ้าพรหมทัต ปกครองกรุงพาราณสีในยุคสมัยต้นกัป ในยุคนั้นดินฟ้าอากาศดี ที่ป่าแห่งหนึ่งมีเชิงเขา แม่น้ำลำธารใสเย็นป่าร่มรื่น

ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ของเราท่านได้เกิดเป็นพญากระต่าย ท่านมีสหายอีก 3 เป็นลิง นาก สุนัขจิ้งจอก สัตว์ทั้ง 4 ตัวเป็นบัณฑิต เวลากลางวันก็ไปหาอาหาร ตอนเย็นก็มาประชุมรวมกัน โดยฟังโอวาทของพญากระต่าย ท่านสสบัณฑิตพญากระต่ายจะให้โอวาทว่า การที่ชีวิตจะมีคุณค่า ชีวิตจะมีความประเสริฐท่านพึงให้ทาน พึงรักษาศีล พึงทำอุโบสถกรรม แม้ท่านเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มีปัญญาข้ามภพข้ามชาติสามารถสอนตนเองได้ แล้วสัตว์ทั้ง 3 ก็รับโอวาทของพญากระต่าย และเข้าไปยังที่อยู่ของตนนำมาปฏิบัติเป็นสัตว์ที่รักษาศีล และรักษาอุโบสถ(ศีล 8)

การรักษาศีล 8 ค่อย ๆ ฝึก เริ่มจากวันพระก่อน ต่อไปก็เริ่มวันโกนฝึกไปเรื่อยแล้วจะค่อย ๆ ก้าวหน้าพัฒนาไปได้

มีอยู่วันหนึ่ง พญากระต่ายโพธิสัตว์ ท่านมองไปที่ดวงจันทร์ ก็รู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันอุโบสถ คือเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง จึงกล่าวกับสัตว์ทั้ง 3 ผู้เป็นสหายว่า พวกท่านจงสมาทานศีลและรักษาอุโบสถ และให้โอวาทอีกว่า ทานที่ผู้ตั้งอยู่ในศีลแล้วให้ย่อมมีผลมาก

เราจะให้ทานต้องมีศีล ถ้าเราทำทานแต่เราไม่มีศีลมีผลน้อย มันหย่อน  เพราะถ้าไม่มีศีลก็เหมือนไม่มีสติ เวลาเราไปวัดก่อนจะถวายของเป็นสังฆทาน เราจะต้องอาราธนาศีลก่อน ส่วนที่วัดพระธรรมกายพิเศษให้นั่งสมาธิกลั่นใจใสๆด้วย แล้วจึงจะกล่าวคำถวายทานก็จะได้บุญมาก ถ้าศีลไม่ดีแม้ทำทานมันก็หย่อน

มีพระอาจารย์ที่วัดเรารูปหนึ่งท่านไปทำธุระในกรุงเทพฯ ช่วงเช้าจนใกล้ๆเพลก็ยังไม่เสร็จธุระท่านจึงทำธุระต่อซื้อของจำเป็นเพื่อใช้ในงานพระพุทธศาสนา พอถึงเวลาเพลท่านก็หาร้านอาหาร ท่านไปรูปเดียว ปกติพระจะหาร้านที่สงบคนไม่พลุกพล่าน มีร้านข้าวดูเงียบ ข้างในมีคนเมานั่งดื่มเหล้ากันอยู่ ท่านนั่งฉันภัตตาหารท่านมองคนเมา คนเมาก็มองท่าน ฉันเสร็จท่านเรียกแม่ค้าให้เก็บเงิน แม่ค้าตอบว่าหลวงพ่อมีคนจ่ายให้แล้ว คนเมาจ่ายให้ ทำทานได้แต่รักษาศีลไม่ได้ เวลาทำทานให้รักษาศีลให้รักษาศีล ศีล 8 ยิ่งดี ถ้าเป็นท่านชายก็บวชเลยยิ่งดีเพราะฉะนั้นทานที่ผู้มีศีลย่อมได้บุญมาก

พญากระต่ายยังให้โอวาทอีกว่า เมื่อมียาจกมาถึง ท่านทั้งหลายพึงให้รสอาหารที่ควรกิน แล้วจึงค่อยกิน

คนในยุคนี้ตื่นเช้ามาอยากกอบโกย อยากจะได้ อยากจะหาเข้าตัวเอง แต่ถ้าคนรักการให้ทาน ตื่นเช้ามาอยากจะให้ อยากจะทำบุญ อยากจะให้ผู้อื่น พญากระต่ายก็เหมือนกันเป็นนิสัยข้ามชาติ คนในยุคสมัยก่อนเขาทำแบบนี้ ตื่นเช้ามาเตรียมภัตตาหารประณีตใส่บาตรพระ ดูแลพระที่วัดเป็นอย่างดี ให้พระท่านได้ขบฉัน ใส่บาตรพระเสร็จ เดินเข้ามาในบ้านดูแลพระในบ้านคือพ่อแม่ เขาทำแบบนี้จึงเจริญรุ่งเรือง อายุยืน วันนี้ฟังโอวาทพญากระต่ายแล้ว อย่าลืมตื่นเช้ามาต้องให้ก่อน ก่อนที่จะรับเข้ามา ฝึกเป็นผู้ให้เรื่อยๆ ยิ่งให้ยิ่งได้ให้ไปเลย ทำให้ใจของเราอยากจะให้ไปเรื่อยๆ  สัตว์ทั้ง 3 รับโอวาทแล้วเข้าไปอยู่ในที่ของตน 

พอรุ่งเช้าสัตว์ทั้ง 3 ออกไปหาอาหาร นากไปหาเหยื่อ ในวันนั้นเองมีพรานเบ็ดไปตกปลาตะเพียนได้ 7 ตัว เอาเถาวัลย์ร้อยไว้ ขนไปไม่ไหวจึงคุ้ยทรายฝังไว้ลึกๆ แล้วไปหาปลาทางทิศใต้ต่อ นากได้กลิ่นจึงคุ้ยทรายเจอปลาตะเพียน 7 ตัว นากคิดว่าตัวเองรักษาศีล จะไปขโมยของคนอื่นไม่ดี จึงตะโกนว่าปลาตะเพียน 7 ตัวนี้  มีเจ้าของหรือไม่  ถ้าไม่มีเราจะเอาไป ตะโกนถึง 3 ครั้ง ไม่มีใครตอบ นากคิดว่าปลานี้เป็นของเหลือเดน เดี๋ยวเราเอาไปทำบุญจึงเอาปลากลับมาที่พักของตน ไม่มีเจตนาจะขโมย

สุนัขจิ้งจอกเดินหาอาหาร เจอกระท่อมร้างของชาวนา เจอเนื้อย่าง 2 ไม้ หม้อนมส้ม 1 หม้อ ตะโกนถามว่ามีเจ้าของหรือไม่ ถ้าไม่มีเราจะเอาไป ตะโกนถาม 3 ครั้ง  ไม่มีใครตอบคิดว่าเป็นของเหลือเดนจึงคิดเอาไปทำบุญ  แล้วเอากลับมาที่อยู่ของตน แต่ก็ไม่ได้กิน ต้องการทำทานก่อน

ลิงเข้าไปในป่าเจอมะม่วงอยู่ในป่าเป็นของกลางจึงเก็บเอามาที่พักของตน แต่ก็ไม่ได้กิน  ต้องการทำทานก่อน

ส่วนกระต่ายพระโพธิสัตว์ ปกติกระต่ายกินหญ้า คิดว่าอาหารของเราคือหญ้า ถ้ามีใครขออาหารเรา เราก็ไม่มีอะไรจะให้ ถ้าใครมาขอเรา เราจะให้ชีวิตเป็นทาน ความดีของกระต่ายที่จะทำความดีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน สละชีวิตเป็นทาน ทำให้ภพของพระอินทร์ร้อน

ภพของพระอินทร์ร้อนเกิดเพราะเหตุอะไรบ้าง

1.สิ้นบุญ

2.สิ้นอายุ

3.สัตว์ผู้มีอานุภาพมาก ๆ ปรารถนาภพภูมิของท่าน

4.ด้วยเดชแห่งศีลของผู้ประพฤติธรรม


ภพของท้าวสักกะร้อนขึ้นมาทันที จึงสอดส่องทิพยจักษุลงมาดู  เห็นพญากระต่ายตั้งใจจะสละชีวิตเป็นเดิมพัน สร้างมหาทานบารมี จึงลงมาทดลองว่าท่านจะทำเช่นนั้นจริงหรือไม่ ลงมาหานากก่อนแปลงกายมาเป็นพราหมณ์แก่  ทำเป็นคนหิวกระหาย บอกนากว่าเราหิวเหลือเกิน  ท่านมีอะไรให้เรากินไหม... นากให้ปลาตะเพียนทั้งหมด พราหมณ์รับไว้ แล้วไปต่อหาสุนัขจิ้งจอก...  สุนัขจิ้งจอกให้เนื้อย่างและนมส้มทั้งหมด   ไปต่อหาลิง....ลิงให้มะม่วงทั้งหมด ไปต่อหาพญากระต่าย... พญากระต่ายบอกว่า...เราไม่มีอาหารอะไรเลย..แล้วได้กล่าวเป็นคาถา  ความว่า

ท่านพราหมณ์ เรานั้นงาก็ไม่มี ไม่มีถั่ว ไม่มีข้าวสาร ท่านจงบริโภคเรา ผู้สุกด้วยไฟนี้ แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด พอกล่าวจบท้าวสักกะเนรมิตกองไปขึ้น กระต่ายลุกขึ้นสลัดขน 3 ครั้ง เพื่อให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่อาศัยขนอยู่ออกไป จะทำทานอย่างประณีตไม่ให้เสียศีลเลย แล้วกระโดดเข้ากองไฟ กระต่ายถามว่าทำไมกองไฟที่ท่านก่อมันเย็นเหลือเกิน เย็นเหมือนหิมะ พราหมณ์จำแลงตอบว่า ท่านพญากระต่ายเราเป็นท้าวสักกะเทวราช เรามาเพื่อทดลองใจท่าน  เพื่อดูว่าจะทำตามที่พูดหรือไม่ เรารับรู้ในสิ่งที่ท่านทำ

พญากระต่ายกล่าวว่า...เรื่องการสละชีวิตเป็นทาน  มีรู้เฉพาะเรากับท่านเท่านั้นเอง และมีผู้อื่นรู้หรือไม่ ท้าวสักกะเทวราช กล่าวว่า..การสละชีวิตเป็นทานของท่านในครั้งนี้เราจะให้ทุกคนได้รู้ และคุณความดีของท่านจะต้องอยู่ตลอด 1 กัป ท้าวสักกะเทวราชเอามือไปจับภูเขาบีบภูเขาจนกระทั่งเหลวเป็นลาวา  แล้วไปเขียนรูปกระต่ายบนดวงจันทร์ แล้วกลับไปยังภพของตนบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ต่อมาสัตว์ทั้ง 4 ก็บำเพ็ญกุศลธรรมจนกระทั่งหมดอายุขัย

เมื่อจบการแสดงธรรม ท่านเศรษฐีที่ฟังธรรมและถวายทานอย่างเต็มที่ จิตเลื่อมใสสามารถทำใจหยุดนิ่งได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประชุมชาดกในอดีตชาติ นากในกาลนั้นปัจจุบันคือ พระอานนท์ สุนัขจิ้งจอกคือ พระโมคคัลลานะ  ลิงคือ พระสารีบุตร ส่วนพญากระต่ายคือ ตถาคต นั่นเอง  นี่คืออดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้สร้างบารมีมา

ทุกครั้งที่เราเห็นดวงจันทร์กลมๆ สว่างๆ เห็นเป็นกระต่ายให้เรานึกถึงความดีของพญากระต่ายโพธิสัตว์สร้างบารมีเอาชีวิตเป็นเดิมพัน  ในยุคสมัยนั้นคงเขียนใหม่ๆ กระต่ายคงหูตากระพริบตอนนั้นต้นกัป แต่ตอนนี้ปลายๆกลับแล้วก็เลยเลือนๆไปบ้างแต่ก็ยังเป็นรูปทรงกระต่าย เพราะฉะนั้นให้เรามั่นใจเลยกระต่ายแน่นอน ในตอนต้นที่บอกว่านักวิทยาศาสตร์ส่องกล้องไปดูสันนิษฐานว่าเป็นทะเล ต่อมาส่งยานอวกาศไปจึงรู้ว่าเป็นลาวา ซึ่งตรงกับความรู้ในพระไตรปิฎก

ยิ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีความเจริญมากขึ้นเท่าใดก็ตาม จะค้นพบความจริงในพระพุทธศาสนา ให้เราภูมิใจ เราได้มาเป็นชาวพุทธ มาเจอคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นด้วยปัญญาตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ให้ข้อคิดกับพวกเรา อย่าประมาทเร่งสร้างความดี พระโพธิสัตว์ของเราก็ยังไปเกิดเป็นกระต่ายเป็นสัตว์เดรัจฉาน  เรามัวแต่ท่องดุสิตบุรี แต่ไม่สั่งสมบุญนี่อันตราย ท่องแล้วก็ไปนอน คติของสัตว์ที่เกิดมาบนโลกมนุษย์ไม่แน่นอน โดยเฉพาะการได้กลับมาเกิดในอัตภาพของมนุษย์เป็นของอยาก

การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก เราอยากเกิดมาได้อัตภาพการเป็นมนุษย์ไปรักษาศีลดี ๆ รักษาใจของเราให้ใส ๆ จะได้มั่นใจว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เพราะคติของมนุษย์ไม่แน่นอน ขนาดพระโพธิสัตว์ยังพลาดพลั้งไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ นับประสาอะไรกับพวกเรา เพราะฉะนั้นอย่าประมาทให้รีบเร่งสร้างความดี ให้ใจอยู่ในบุญกุศล ให้สวดธรรมจักรอยู่ในใจตลอดเลย ใจจะได้เป็นบุญ

ข้อคิด พระโพธิสัตว์ของเราเวลาสร้างความดี เป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ทำความดีเต็มที่ ไม่ย่อท้อ ไม่ท้อถอยในการทำความดี พวกเราก็เหมือนกันอย่าไปท้อแท้ ท้อถอย สังเกตพวกเราบางท่าน ตอนที่ยังลำบากอยู่ทุ่มเททำบุญเต็มที่ แต่พอรวยไม่ค่อยเต็มที่ ห่วงบริษัท ห้างร้าน ซื้อรถ ไปเที่ยว เป้าหมายเริ่มเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นนะพวกเราให้ทำเต็มที่ ดูอย่างพระโพธิสัตว์เมื่อเจริญรุ่งเรืองก็ไม่ลืมเป้าหมาย เราอย่าลืมเป้าหมายว่า..เราเกิดมาสร้างบุญบารมีทำให้เต็มที่

ข้อคิดอีกประการคือ ความดีที่พวกเราทำ ถ้าพวกเราทำอย่างเต็มที่เต็มกำลัง จะเป็นที่จดจำ และจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นด้วย เหมือนพญากระต่ายพระโพธิสัตว์ท่านความดีอย่างเต็มที่ จนกระทั่งท้าวสักกะเทวราชต้องมาจารึกไว้ และทำให้เราจำความดีของท่านได้ด้วย และก็ทำให้ผู้อื่นอยากทำตาม เราก็อยากทำความดีเหมือนท่าน ขอให้ทำเต็มที่ ให้คนอื่นเขาอยากทำตามอย่างเรา

เหมือนหลวงปู่วัดปากน้ำ ความดีที่ท่านทำ ท่านทำอย่างเต็มที่แม้เลือดเนื้อจะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่หนังกระดูกช่างมัน ถ้าไม่รู้เห็นธรรมไม่ลุกจากที่ ก็คือไม่ได้ตายเถอะ นี่ก็ทำให้เราเกิดแรงบันดาลใจอยากทำความดี   ความดีที่พวกเราลูกๆหลวงพ่อทำ เราทำกันเต็มที่เต็มกำลัง

นึกถึงโยมท่านหนึ่งประมาณปี 2542 , 2543, 2544 ช่วงนี้ยุคนั้นข่าววัดนี้ดัง มีคนมาใส่ร้ายโจมตีวัดมากมาย พอมีข่าววัดคนก็หายออกจากวัดไปเยอะ เมื่อคนมาวัดน้อยลงปัจจัยก็น้อยลง คนทำบุญน้อยลง ช่วงนั้นใกล้ยุค IMF ปี 2540 ทั้งเรื่องของวัดเรื่องเศรษฐกิจคนทำบุญน้อยลง หลวงพี่ได้ฟังรายการสู้ต่อไป ในช่วงนั้นหลวงพี่อยู่ที่วัดสาขาที่ต่างจังหวัด พอมาวัดฉันภัตตาหารเสร็จวันอาทิตย์ต้นเดือน นั่งดูรายการสู้ต่อไป ฟังโยมท่านหนึ่งยังจำมาถึงทุกวันนี้ ในยุคนั้นท่านบอกว่าตัวสามีของท่าน เพิ่งถูกออกจากงานบริษัทเงินเดือนเป็นหลักแสนบาท ได้เงินมาก้อนหนึ่งหลายล้านบาท เป็นช่วงข่าววัดดัง ไม่ค่อยมีคนทำบุญ พอเห็นว่าคนเข้าวัดน้อยลง ค่าใช้จ่ายมากขึ้นเพราะเราต้องขยายงานพระศาสนา สิ่งก่อสร้างก็เยอะ เขาเอาเงินก้อนสุดท้ายมาทำบุญหมดเลย เขาบอกเขาไม่เก็บ เพราะว่าตอนนี้วัดเดือดร้อนต้องใช้เงิน เขาไม่กลัวถึงวันข้างหน้า เพราะอานุภาพบุญคุ้มครองเขา ทุกวันนี้ก็ยังเจอเขาก็ไม่เห็นเขาลำบากเลย มาวัดก็นั่งอยู่แนวหน้าประจำ ทำบุญแล้วไม่หมด

คนที่เข้าวัดมีแต่รวยขึ้น เจริญรุ่งเรืองขึ้น ความดีที่เราทำอย่างเต็มที่คนจะจำ จำโยมท่านนี้ได้แม่น และก็เป็นแรงบันดาลใจให้หลวงพี่ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยเก็บเงินเลย มีเท่าไรทำบุญหมดนึกถึงโยม โยมมีภาระหน้าที่ต้องใช้จ่ายยังไม่เก็บเงินเลย เก็บบุญ เราเป็นพระก็มีกินมีใช้ญาติโยมก็ดูแล หลวงพ่อก็ดูแลเรา ภัตตาหารก็มี ก็ได้แรงบันดาลใจจากโยม และได้เคยฟังจากหลวงพ่อมาก่อนเข้าใจเลย แต่เมื่อก่อนอยู่วัดสาขาต้องเดินทาง ต้องเรียนหนังสือด้วย ก็เก็บเงิน ร้อยสองร้อยบาท เป็นค่าเดินทาง พอได้ฟังจากโยมวันนั้นก็ไม่เก็บ แล้วก็ไม่เคยขาดด้วย แปลกดีเหมือนกัน บุญทำเต็มที่ไม่จน ขอให้เราทำเต็มที่เต็มกำลัง คนอื่นก็จะทำด้วย

ในช่วงนี้ มีบุญคัดหินเกร็ด คัดให้สวยจะรวยทรัพย์ คัดให้ขาวจะสาวทรัพย์ ไปทำจะได้บุญเยอะๆ ทำหน้าพระมหาธรรมกายเจดีย์ ทำไปด้วย สวดไปด้วย ใจใสเข้ากลางไปด้วยจะได้บุญเยอะๆ

ฝากพวกเราไว้อีกเรื่องนะ พระมหาธรรมกายเจดีย์ กว่าเราจะสร้างเสร็จไม่ใช่ของง่าย สละทรัพย์กว่าจะสร้างไม่ใช่ของง่าย เมื่อเสร็จแล้วก็อยากให้พวกเราไปที่หน้าพระมหาธรรมกายเจดีย์ ไปสวดธรรมจักร ไปเวียนประทักษิณ ไปตรึกระลึกนึกถึงบุญ ซึ่งตรงที่นี้ ต้องบอกว่าเป็นจุดที่สว่างที่สุด  เทวดามากันเนืองแน่น  เราเป็นผู้สถาปนาเราได้บุญเยอะ แล้วไปก็อย่าไปเพียงลำพัง ให้ชวนหมู่ญาติบุคคลอันเป็นที่รักของเรามาด้วย จะได้มาร่วมสร้างบุญ สร้างบารมีกับหมู่คณะของเรา เราชวนเขามาสร้างบุญบารมีกันเยอะๆ ต่อไปมีคนมาวัดมากมาย จะได้เป็นการขยายพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองในยุคของเรา

เพราะฉะนั้นไปสั่งสมบุญทั้งทำด้วยตัวเอง และไปชวนผู้อื่นมาสร้างบารมีกับพวกเราด้วย ขอฝากพวกเราไว้เพียงเท่านี้


#ฝันในฝัน   #โรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน   #โรงเรียนฝันในฝัน  #กฏแห่งกรรม #ธรรมะ #แสดงธรรม #นักเรียนอนุบาล  

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2561   พระครูสังฆรักษ์อน...