วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561


โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
พระปลัดนพดล สิริวํโส
แสดงธรรมเรื่อง โอกาสดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ห้อง SPD 4 สภาธรรมกาย
**************************

ขอนอบน้อมแด่พระผู้พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ กราบคาราวะพระมหาเถระ เจริญพรนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทั่วโลกทุกท่าน เรามาพบกันในโรงเรียนฝันในฝันวิทยาวันนี้เราจะได้ฟังธรรม จะได้ดื่มรสพระธรรม จะได้ปีติในธรรม จะได้ยินดีในธรรม อาจจะได้บรรลุธรรม

วันนี้เป็นวันพระข้างแรม เราควรทำบุญในวันพระให้มาก เพราะวันพระเป็นวันสำคัญ และเราก็จะคิดอย่างพระ พูดอย่างพระ ทำอย่างพระ เข้าถึงองค์พระ แล้วจะได้เป็นพระ

พระมาจากคำว่า วร- แปลว่าประเสริฐ คือตั้งใจปฏิบัติธรรมตามหนทางสายกลางอันประเสริฐ เรียกว่าอริยมรรค ประกอบด้วยองค์ 8 วันนี้เราก็จะได้ฟังธรรมในวันพระ ก่อนฟังธรรมเราไปฟังเพลงกันก่อน (เพลง...อยากฟังธรรมะ)

อานิสงส์การฟังธรรมจะทำให้ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟังแล้วเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ขจัดข้อสงสัยเสียได้ ทำให้มีความเห็นถูก จิตผ่องใส จิตที่ผ่องใสนั้น เป็นเรื่องที่ชาวพุทธหรือนักสร้างบารมีโดยเฉพาะวงบุญพิเศษจะเขตไหนก็ตามจะต้องชำระจิตให้ผ่องใสเสมอ จิตของเรานั้นจะต้องผ่องใส

พระพุทธเจ้าให้ภิกษุไปโปรดมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพราะผู้มีบุญมีอยู่อาจจะเสียประโยชน์จากการไม่ได้ฟังธรรม หากมนุษย์ทั้งหลายได้ฟังธรรมแล้วก็จะได้รับประโยชน์ เพราะมนุษย์มีความไม่รู้อยู่ ความไม่รู้นี้เรียกว่าอวิชชา ซึ่งอวิชชามีหนาแน่นมาก เป็นความมืด เหมือนเด็ก 13 คนติดอยู่ในถ้ำไม่รู้ว่าวันนี้วันอะไร เพราะฉะนั้นความไม่รู้นี้น่ากลัวที่สุด เราจะต้องฟังธรรมเพื่อจะได้รู้

เมื่อพระพุทธเจ้าโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 แล้ว ไปโปรดยสกุลบุตร โปรดปัญจวัคคีย์ กระทั่งทุกท่านเป็นพระอริยเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเป็นผู้พ้นแล้วจากกาม ทั้งที่เป็นมนุษย์ ทั้งที่เป็นทิพย์ เธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข เพื่อความเอ็นดูต่อโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เธอจงไปคนเดียวหลาย ๆ ทาง แต่อย่าไปทางเดียวหลาย ๆ คน สัตว์ผู้มีธุลีในดวงตายังมีอยู่ สัตว์เหล่านี้จะเสื่อมจากคุณความดีที่ควรจะได้ควรจะถึงเพราะโทษจากการไม่ได้ฟังธรรม สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงธรรมย่อมมีเป็นแน่  จงไปกันเถิด แม้เราเองก็จะไปแสดงธรรมเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการแสดงธรรม ไม่มีการฟังธรรม คนทั้งหลายจะไม่รู้หนทางมรรคผลนิพพาน จะไม่รู้บุญกุศล ไม่รู้บาปอกุศล ก็จะทำผิดพลาด พลั้งเผลอทำบาปแล้วไปสู่อบาย ซึ่งเป็นดั่งคุกที่คุมขัง   เพราะฉะนั้นภิกษุทั้งหลายจะต้องศึกษาธรรมวินัย แล้วประพฤติปฏิบัติ จากนั้นแสดงธรรมโปรดมวลมนุษย์ทั้งหลายผู้น่าสงสารให้ได้บุญ ให้ได้เข้าใจ ให้ได้เลื่อมใส

พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า ตระกูลใดเห็นสมณะผู้มีศีลแล้วมีจิตศรัทธาเลื่อมใส นั่นเป็นข้อปฏิบัติเพื่อไปสู่สุคติ การเห็นพระแล้วเลื่อมใสนำไปสู่สุคติ   เห็นพระแล้วมีจิตเลื่อมใส ลุกรับกราบไหว้  ให้ทาง นี้เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดในตระกูลสูง คนที่เย่อหยิ่งจองหอง แข็งกระด้าง พวกนี้ก็จะเกิดในตระกูลต่ำ

เมื่อเห็นพระแล้ว มีจิตเลื่อมใสแล้ว ลุกรับ กราบไหว้แล้ว เข้าไปถามปัญหา ถามธรรมะ เมื่อถามแล้วจากความไม่รู้ก็กลายเป็นความรู้ การปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่าข้อปฏิบัติของผู้มีปัญญามาก และเมื่อมีจิตเลื่อมใสแล้ว ก็นำทรัพย์ออกบริจาค เป็นผู้มีมือที่ชุ่มด้วยการให้ นั่นเป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้มีโภคทรัพย์ เพราะฉะนั้น เมื่อเจอพระผู้มีศีลแล้ว เราก็ต้องนิมนต์นั่ง แล้วก็ถามเรื่องกุศล-อกุศล เรื่องบุญ-บาป หนทางมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของพระที่จะต้องศึกษาค้นคว้า เมื่อพระศึกษาแล้ว นำมาปฏิบัติ แล้วก็เทศน์สอน
การให้ที่แสดงธรรมก็ดี ให้ที่ฟังธรรมก็ดี ให้ที่ปฏิบัติธรรมก็ดี ทั้งหมดชื่อว่าให้ธรรมทาน อย่างเช่น เราเปิดเปิดบ้านกัลยาณมิตร แล้วให้คนมาสวดมนต์ สวดธรรมจักร ให้คนมาปฏิบัติ
ธรรม ให้คนมาฟังธรรม อย่างนี้เรียกว่าให้ธรรมทาน เป็นการทำบ้านให้กลายเป็นวัดได้ นี่เป็นหน้าที่ของโยมผู้เป็นชาวพุทธที่จะต้องแสวงหาและขวนขวาย

หรือเรามาวัดสวดมนต์ มาปฏิบัติธรรม จัดรถนำสาธุชนมาวัดในวันอาทิตย์ หรือวันงานบุญต่างๆ มาถวายภัตตาหาร เป็นต้น แต่ถ้าเราอยู่ที่บ้าน เราก็ควรเปิดบ้านของเราให้เป็นบ้านกัลยาณมิตร ชวนคนมาฟังธรรม มาประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วอย่าลืมรับส่งให้พระท่านเดินทางได้สะดวก เราก็จะได้บุญจากการให้ยานพาหนะอีกด้วย  เพราะฉะนั้นเมื่อมีการฟังธรรมก็มีการบรรลุธรรม มีการเข้าถึงธรรมเกิดขึ้น มีแสงสว่างก็เกิดขึ้น เพราะเดิมใจเราใส แล้วถูกความโลภ ความโกรธ ความหลงเข้ามา เลยทำให้ใจหมองและมืด เหมือนดวงจันทร์ที่สว่างในคืนวันเพ็ญ เมื่อเมฆสีดำลอยมาปิด ดวงจันทร์ก็มืดไป

ใจของเราเดิมมันใส แต่เมื่อกิเลส โลภ โกรธ หลงหรือนิวรณ์ 5 เข้ามา ใจเราก็เลยหมองและมืด เพราะฉะนั้นจะต้องชำระใจให้ใสด้วยบุญ บุญจะชำระใจให้ใส ให้สว่าง แล้วก็พ้นจากความมืด ทำลายความไม่รู้ คือเห็นทำลายอวิชชาความไม่รู้นั้นไปได้ เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่ทำลายความหมอง ทำลายความมืด เริ่มต้นโดยการฟังธรรม

หัวข้อที่จะเทศน์วันนี้ คือเรื่องโอกาสดีแล้วที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ใครเคยได้ยินดุสิตบุรีบ้าง ดุสิตบุรี 4,000 ปีทิพย์
400 ปีในโลกมนุษย์ เท่ากับ 1 วัน 1 คืน ในสวรรค์ชั้นดุสิต หรือ 24 ชั่วโมง
200 ปีในโลกมนุษย์ เท่ากับ 12 ชั่วโมง ในสวรรค์ชั้นดุสิต
100 ปีในโลกมนุษย์ เท่ากับ 6 ชั่วโมง ในสวรรค์ชั้นดุสิต
50 ปีในโลกมนุษย์ เท่ากับ 3 ชั่วโมง ในสวรรค์ชั้นดุสิต
ใครเคยฝันว่าไปเจอทองบ้าง สมมุติว่าเราฝันไปเจอทอง ดีใจใหญ่เลย กำเอาทองนั้นวิ่งกลับบ้าน ตื่นมายังหอบอยู่ พอแบมือออกปรากฏว่าไม่มีทอง มันเป็นแค่ความฝัน ไม่สามารถเอาทองจากความฝันมาสู่จริงได้
ทีนี้เราเป็นชาวสวรรค์ชั้นดุสิตบุรีและเรากำลังหลับอยู่ที่ดุสิตบุรี แล้วฝันว่ามาเกิดอยู่ในโลกมนุษย์ ได้มาเจอคุณยาย มาเจอวัดพระธรรมกาย ได้เจอหลวงพ่อ ได้ทำบุญหล่อทองหลวงปู่ ได้สร้างองค์พระ สร้างเจดีย์ สร้างวิหาร สร้างอาคารโน้นอาคารนี้ สร้างอาคารร้อยปีคุณยาย อาคารพระผู้ปราบมาร อาคารหนึ่งไม่มีสอง อาคาร 60 ปี อาคารบุญรักษา เป็นต้น การได้ทำบุญต่าง ๆ เป็นดั่งเราเจอทองในฝัน

ในตามความจริงจากที่ผู้รู้ได้บอกไว้ว่า ทุกครั้งที่เราได้ทำบุญไปวิมานก็สว่างขึ้น ทิพยสมบัติก็เกิดขึ้น พระอาจารย์นพดลก็กำลังบอกนะ  นี่นะเรากำลังฝันอยู่นะ  กำลังบอกกันในฝันนะว่า นี่ท่านทั้งหลายรีบกอบโกยทองติดตัวไปจากในฝันนี้ เพราะอายุขัยในโลกมนุษย์เพียง 100 ปี บางท่านก็ไม่ถึง  แต่อายุขัยที่ดุสิตบุรี 4,000 ปีทิพย์ แล้วที่ใดควรเป็นความฝัน ที่ใดควรเป็นความจริง โลกมนุษย์นี้ควรเป็นความฝัน ดุสิตบุรีควรเป็นความจริง เพราะฉะนั้นตอนนี้เรากำลังอยู่ในฝันอยู่ เพราะทุกคนต้องตายจากโลกนี้แน่  แต่จะไปลืมตาตื่นที่ดุสิตบุรี

สมมุติว่าตอนนี้เราได้ทำบุญไว้อย่างเต็มที่เลย ทำบุญทุกบุญ บุญต่าง ๆ มากมาย พอเราหมดอายุขัย เราก็ลืมตาในสวรรค์ชั้นดุสิต เราเอาทองจากความฝันกลับมาสู่ความจริงได้ แต่ถ้าเราไม่ได้ทำบุญไว้ ไม่ยอมกอบโกยทอง และจะได้กลับดุสิตบุรีหรือเปล่า แม้ได้กลับดุสิตบุรี ตื่นมาก็ไม่มีอะไรเลย เพราะไม่ยอมทำ

หัวข้อเทศน์ในวันนี้คือเรื่อง โชคดีแล้วที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จากทานสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปเหนือกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และมนุษย์ชมพูทวีป 3 อย่างคือ 1. ไม่มีความทุกข์เลย 2. ไม่มีความหวงแหน 3. มีอายุที่แน่นอน 1,000 ปี เมื่อเขาต้องการอะไรก็จะไปที่ต้นกัลปพฤกษ์ แล้วนึก ๆ เอา

สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เหนือกว่ามนุษย์อุตรกุรุทวีป และชมพูทวีป 3 อย่างคือ
1. อายุทิพย์ 1,000 ปีทิพย์ ชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อายุยืนยาว
1 วัน 1 คืนของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เท่ากับ 100 ปีในโลกมนุษย์
24 ชั่วโมง ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เท่ากับ 100 ปีโลกมนุษย์ ในโลกมนุษย์
12 ชั่วโมง ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เท่ากับ 50 ปี ในโลกมนุษย์
6 ชั่วโมง ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เท่ากับ 25 ปี ในโลกมนุษย์
2. วรรณะทิพย์ คือมีรัศมีกายสว่าง
3. สุขทิพย์ มีความสุขมากกว่ามนุษย์มากมาย เพราะเป็นที่เสวยผลของกรรมดี ผลของบุญที่ทำเอาไว้ ก็จะไปเที่ยวเล่น กินดื่ม ดูฟ้อนรำ มีเทวรถใหญ่ ๆ มีวิมานทอง ต้องการอะไรจะมีบริวารมากมายคอยตอบสนอง คอยบำรุงบำเรอ เหล่านี้คือความสุขทิพย์

เข้าสู่หัวข้อเทศน์ในวันนี้ เรื่องความโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์ชมพูทวีปเหนือกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และอุตรกุรุทวีป 3 อย่างคือ
1. ความเป็นผู้กล้าหาญ กล้าทำความดี กล้าทำความชั่ว
2. มนุษย์เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ เมื่อเทียบกับเทวดาเมามันกับความสุขอันเป็นทิพย์จนเพลิน สติก็เลยหย่อนไป ไม่มีสติเพราะมัวเพลิน แม้ในนรกก็ไม่สติ เพราะถูกทัณฑ์ทรมานเพราะฉะนั้นไม่ว่าสวรรค์ พรหม และนรก ล้วนไม่มีสติสัมปชัญญะ
3. มนุษย์สามารถประพฤติพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมได้ แต่มนุษย์อุตรกุรุทวีป และเทวดาประพฤติพรหมจรรย์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า และการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ จะปรากฏในโลกมนุษย์นี้เท่านั้น จะอุบัติในชมพูทวีปนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเทวดาเห็นเราทำบุญจะอ้างปากค้างเลย เสียดายทำอย่างเราไม่ได้ เกิดเป็นมนุษย์มันเหนือกว่าเทวดา แต่อย่าไปทำตัวเสวยสุขแบบเทวดา ซึ่งพรหมจรรย์ก็คือการปฏิบัติตามอริยมรรค ประกอบด้วยองค์ 8 นั่นเอง

ในยุคที่มนุษย์มีอายุขัยมาก ๆ จะประมาท อายุขัยมนุษย์มากกว่า 1,000 ปีก็มี มากกว่า 10,000 ปีก็มี มากกว่าแสนปีก็มี เป็นอสงขัยปีก็มี เพราะฉะนั้นเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วต้องไม่ประมาท
เรามาดูเรื่องความไม่ประมาทกัน เป็นเรื่องราวก่อนครั้งพุทธกาล อาฬกศาสดา เป็นอาจารย์ผู้ปราศจากกิเลสกาม คือไม่ยินดีในรูป กลิ่น เสียง รสสัมผัส โดยเฉพาะเพศตรงข้าม สอนลูกศิษย์วันละ 3 เวลา ว่าชีวิตนี้เป็นของน้อยมีความทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ควรสัมผัสได้ด้วยปัญญา ควรบำเพ็ญกุศล ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะสัตว์ที่เกิดแล้วไม่ตายเป็นไม่มี
หยาดน้ำปลายยอดหญ้า เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วก็หายไปฉันใด ชีวิตนี้ก็ฉันนั้น เล็กน้อย นิดหน่อย มีความทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก บุคคลควรรีบบำเพ็ญกุศล ประพฤติพรหมจรรย์ ควรถูกต้องด้วยปัญญา เพราะสัตว์ที่เกิดมาแล้วไม่ตาย เป็นไม่มี
ชีวิตนี้เหมือนรอยขีดไม้ในน้ำ มันกว้างออกไป แล้วมันก็กลับเข้ามาอย่างรวดเร็วฉันใด ชีวิตนี้ก็ฉันนั้น เล็กน้อย นิดหน่อย มีความทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ควรถูกต้องด้วยปัญญา ควรบำเพ็ญกุศล ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะสัตว์ที่เกิดมาแล้วไม่ตาย เป็นไม่มี
ชีวิตนี้เหมือนฝนตกบนยอดดอย น้ำย่อมไหลมาอย่างรวดเร็วไม่มีเวลาหยุดหย่อน ย่อมพัดสิ่งทั้งหลายให้ระเนระนาดฉันใด ชีวิตนี้ก็ฉันนั้น รวดเร็ว เล็กน้อย นิดหน่อย มีความทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ควรรีบบำเพ็ญกุศล ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะสัตว์ที่เกิดแล้วไม่ตายเป็นไม่มี
ชีวิตนี้เหมือนเขละที่ติดอยู่ปลายลิ้น บุคคลพร้อมที่จะถ่มถุยเมื่อไหร่ก็ได้ ชีวิตนี้ก็ฉันนั้น เล็กน้อย นิดหน่อย มีความทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ควรถูกต้องด้วยปัญญา ควรรีบบำเพ็ญกุศล ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะสัตว์ที่เกิดมาแล้วไม่ตาย เป็นไม่มี
ชีวิตนี้เหมือนเนื้อที่โยนลงในกระทะร้อนๆ ย่อมหดงอเข้าหากันอย่างรวดเร็วฉันใด ชีวิตนี้ก็ฉันนั้น เล็กน้อย นิดหน่อย มีความทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ควรถูกต้องด้วยปัญญา ควรบำเพ็ญกุศล ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะสัตว์ที่เกิดมาแล้วไม่ตาย เป็นไม่มี
ชีวิตนี้เหมือนโคที่ส่งไปให้เขาฆ่า ย่อมถูกฆ่าตายอย่างแน่นอนฉันใด ชีวิตนี้ก็ฉันนั้น เล็กน้อย นิดหน่อย มีความทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ควรถูกต้องด้วยปัญญา ควรบำเพ็ญกุศล ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะสัตว์ที่เกิดมาแล้วไม่ตาย เป็นไม่มี
อาฬกศาสดาสอนอย่างนี้ อายุมนุษย์ในครั้งนั้น 60,000 ปี เด็กสาวอายุ 500 ปี จึงค่อยอยากมีสามี สามีแปลว่า เจ้าของ อยากจะมีเจ้าของตอนอายุ 500 ปี ปัจจุบันมีสามีอายุ 15-16 ปี วันนี้ก็โพสต์ไปว่า อย่าหลงลิ้นชายชั่วนะสาวน้อยทั้งหลาย
อาฬกศาสดาสอนอย่างนี้ มนุษย์ในยุคนั้นมีความทุกข์ 6 อย่างคือ หิว กระหาย หนาว ร้อน ปวดอุจจาระและปัสสาวะ ส่วนโรคอย่างอื่นไม่มี แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่ายุคนี้อายุมนุษย์ 100 ปี มีมากกว่านั้น หรือน้อยกว่านั้นก็เพียงเล็กน้อย
อาฬกศาสดาสอนว่า เราได้สอนเธอแล้วภิกษุทั้งหลาย เธอจงรีบ เราในฐานะอาจารย์ได้กล่าวแล้ว ได้สอนแล้ว ได้แนะนำแล้ว เธอทั้งหลายจงรีบประพฤติพรหมจรรย์ นี้ขนาด 60,000 ปียังสอนอย่างนั้น แล้วยุคอายุขัย 100 ปีจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วไม่ควรประมาท
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า คนที่ประมาทคือคนที่ตายแล้ว คนที่ไม่ประมาทแม้ตายแล้วเหมือนไม่ตาย เราไม่ควรประมาท จงรีบบำเพ็ญกุศล ประพฤติพรหมจรรย์
แล้วพรหมจรรย์คืออะไร พรหมจรรย์คือสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ภิกษุผู้ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 นี้ ท่านอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ ใจย่อมโน้มไป เอียงไป ไหลไป โอนไปสู่นิพพาน นี่คือพรหมจรรย์ ก็คืออริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง
การปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 นั้น อกุศลย่อมไหลออก เหมือนหม้อน้ำที่คว่ำ น้ำย่อมไหลออกหมด ไม่สามารถไหลเข้ามาอีกฉันใด ภิกษุปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 อกุศลทั้งหลายย่อมไหลออกตลอดเวลา กุศลธรรมย่อมไหลเข้าอย่างเดียว
การที่ภิกษุผู้ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 นี้ หากบุคคลมาขอร้องให้สึกไปว่าท่านจะมาถือเวลาขอทานอยู่ทำไม ไปครองเรือนดีกว่า ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์  8 เรื่องจะสึกเป็นไม่มี
การปฏิบัติตามสายกลาง หนทางอันประเสริฐนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เหมือนแม่น้ำอิรวดี แม่น้ำใหญ่ ๆ ทั้งหลาย การที่บุคคลจะขุดดินใส่บุ้งกี๋ ใส่ตะกร้า แล้วนำไปถมแม่น้ำคงคา แม่น้ำอิรวดี ให้น้ำไหลกลับไปย่อมไม่ได้ฉันใด การที่บุคคลจะให้ภิกษุผู้เจริญอริยมรรคมีองค์ 8 สึกออกไป หรือลาสิกขาออกไปครองเรือนนั้น มันเป็นไปไม่ได้ฉันนั้น ดังนั้นภิกษุทั้งหลายพึงฟังพระอาจารย์ด้วยนะ

อริยมรรคมีองค์ 8 ประกอบด้วย
1. สัมมาทิฐิ สัมมาแปลว่า โดยชอบ ทิฐิ แปลว่า ความเห็น รวมกันแปลว่าความเห็นถูก เห็นทุกข์นี่คือทุกข์ นี้คือสาเหตุของทุกข์ นี้คือความทุกข์ดับ นี้คือหนทางดับทุกข์ จะเห็นอย่างนี้ได้จากปัญญาในการพิจารณาหรือการฟัง  ยกเว้นเกิดจากจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เห็นรอบ 3 อาการ 12
ทุกข์คือ... ชาติปิทุกขา  ..ชาติ แปลว่าการเกิด  ..ชาติปิทุกขาคือการเกิดนี้เป็นทุกข์
ชราปิทุกขา ...ความแก่เป็นทุกข์  ความเจ็บ  ความตายก็เป็นทุกข์
โสกะปะริเทวะ ...ความโศกเศร้าร่ำไรก็เป็นทุกข์
ทุกขะโทมะนัส ..ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ก็เป็นทุกข์ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ ความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สมปรารถนาก็เป็นทุกข์ กล่าวโดยย่อความยึดมั่นถือมั่นเป็นทุกข์
สุเมธดาบสได้รับพยากรณ์ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าชาตินั้น ท่านไปนั่งพิจารณาว่าการเกิดเป็นทุกข์ การแตกสรีระเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นเมื่อการเกิดมี การไม่เกิดก็ต้องมี เมื่อความร้อนมี ความเย็นก็ต้องมี  เมื่อทุกข์มี ความสุขก็ต้องมี ...เมื่อภพมี ... สิ่งที่ไม่ใช่ภพคือนิพพานก็ต้องมี ท่านรำพึงอย่างนี้ เมื่อเกิดแก่เจ็บตายมี  อมตะคือความไม่เกิดแก่เจ็บตายก็ต้องมี

เมื่อหนทางมีอยู่ เราไม่เดินตามหนทางนั้น ไม่ใช่ความผิดหนทาง เป็นความผิดของเราเอง เราควรจะละทิ้งร่างกายที่เต็มไปด้วยซากศพไป เหมือนหนุ่มสาวที่รักความสวยงามไม่ยินดีที่จะผูกซากศพงูหรือซากศพไว้ที่คอ รีบทิ้งไปฉันใด เราก็ทิ้งไปฉันนั้น เพื่อไปถึงฝั่งนิพพาน
การที่บุคคลตกบ่ออุจจาระ  บ่อน้ำที่ใสสะอาดมีอยู่   บุคคลนั้นไม่ไปล้าง ไม่ใช่ความผิดของบ่อ แต่เป็นความผิดของบุคคลนั้นเอง
การที่หนทางนิพพานมีอยู่   ถ้าเราไม่ไป   ก็เป็นความผิดของเราเอง
บุคคลย่อมละเรือรั่ว   ไปสู่เรือที่ไม่รั่วฉันใด   เราก็ฉันนั้น
คนที่ถูกโจรล้อมเอาไว้  มีถุงแก้วแหวน เงินทอง ทางที่จะหนีจากโจรมีอยู่  แต่เราไม่ไปไม่ใช่ความผิดของโจร  และเป็นความผิดของคนนั้นเอง 
การที่บุคคลป่วย  หมอที่จะรักษามีอยู่   ยามีอยู่   ไม่ไปหาหมอ   ไม่ใช่ความผิดของหมอ เป็นความผิดของบุคคลนั้นเอง
นี่แหละถึงจะเห็นอริยสัจ 4 ด้วยการพิจารณาด้วยประการฉะนี้ การเห็นถูก  ต้องเห็นอย่างนี้   ....ทุกข์ สมุทัย คืออะไร กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ... ก็คือความกำหนัดยินดี อยากจะได้มาซึ่งรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย อยากได้ไม่สิ้นสุด คือมันไม่จบ มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ  พราหมณ์ไม่อิ่มด้วยมนต์ฉันใด คนที่มีกามตัณหาก็ไม่อิ่มด้วยวัตถุกาม

ภวตัณหาคืออยากมี อยากเป็น วิภวตัณหาคือไม่อยากมี ไม่อยากเป็น นี่คือเหตุแห่งทุกข์ เพราะไปแสวงหาเอามา พอไปแสวงหาก็ทำกรรม พอทำกรรมก็มีผลของกรรม ต้องไปเกิดแก่เจ็บตายกันใหม่ ในขณะที่มีชีวิตอยู่ก็ทำกรรม นี้คือเหตุแห่งธรรม   ที่เขายกทัพเข้าประหัตประหารยึดเมืองกันเพราะตัณหา แย่งผู้หญิงกัน ปล้นกัน เพราะตัณหา ที่เขาฆ่ากัน แย่งชิงทรัพย์ เพราะตัณหา คนมีความโลภก็เพราะตัณหา

2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ... ดำริในการออกจากกาม ..ไม่พยาบาท ..ไม่เบียดเบียน ดำริออกจากกาม กามคือการครองเรือน มีบุตร ภรรยา-สามี แล้วทำมาหากิน ดำริในกาม เช่น แสวงหารูปสวย หาอาหารอร่อย หาสถานที่สวย หารถ หาบ้าน หาไม่จบ   การมีภรรยา มีสามี เรียกว่าอยู่ในกาม
การดำริออกจากกามคือ ออกจากการครองเรือน ออกจากรูป เสียง กลิ่น รส  สัมผัส ออกจาภาระทั้งหลาย  คนเรามีลูกแล้ว  คิดถึงลูก เป็นห่วงลูก หาอาหารอร่อยให้ลูกกินตลอดเลย  แม้จะแก่แล้ว ยังห่วงลูกอยู่นั่นแหละ แล้วจะไปปฏิบัติธรรมหยุดนิ่งได้อย่างไร พระอาจารย์ก็เลยมาบวชอยู่นี่ เข็ดแล้วหลายภพหลายชาติ  ถูกขวางเกือบ 10 ปี กว่าจะได้บวช

เมื่อกายออกจากกาม ใจต้องออกจากกามด้วย  คือใจจะต้องไม่ยินดีด้วย  ถ้ากายออกจากกามแล้ว แต่ใจยังยินดีในกามก็ไม่บรรลุธรรม จะเพียรอย่างไรก็ไม่บรรลุ ใจยินดีอยู่ในกามจะไม่บรรลุธรรม เพียรอย่างไรก็ไม่บรรลุ   …..ดำริในการไม่พยาบาท พยาบาทได้แก่ การจองเวร ผูกโกรธ เรายินดีให้อภัยและแผ่เมตตา   …..ดำริในการไม่เบียดเบียน คือไม่คิดที่จะไปทำร้ายเขา ก็ช่วยเหลือแทน เช่น ปล่อยปลา ปล่อยโค ปล่อยนก ปล่อยกบ ปล่อยเต่า ช่วยแมลงที่ตกน้ำ เป็นต้น

3. สัมมากัมมันตา คือการงานชอบ ทางกายก็ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดพรหมจรรย์ หมายความว่าอะไรที่ทำลายพรหมจรรย์เราก็ไม่ประพฤติ  ถ้าในทางโลกคือไม่นอกใจ แต่ในทางธรรม เมื่อออกบวชแล้ว อะไรข้าศึกต่อพรหมจรรย์ คือกาม ไม่เข้าไปข้องกับกามนั่นเอง
4. สัมมาอาชีวา ...เลี้ยงชีพชอบ ถ้าเป็นพระก็ต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ไม่ไปรับจ้าง ไม่ค้าขาย ปัจจุบัน ไปที่เกาหลี พระต้องขับรถแท็กซี่นะ  เขาถือว่าเขาเป็นพระ ดีกว่าไม่มีพระนะ ไม่รู้ว่ามีเมียด้วยหรือเปล่า  เพราะฉะนั้นต้องสัมมาอาชีวะ  คะพระต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพ หรือมีโยมศรัทธานำมาถวาย
5. สัมมาวาจา  ... เจรจาชอบ  วาจาชอบ คือไม่เท็จ ไม่โกหก ไม่ส่อเสียด ส่อเสียดคือนำความข้างนี้ไปบอกข้างโน้น เอาความข้างโน้นมาบอกข้างนี้ ทำให้คนแตกร้าวกัน   ไม่พูดคำหยาบ ไม่ด่าชาติตระกูล ด่าโคตร ด่าไอ้อี มึงกู ชี้หน้าด่าโคตรบิดามารดา อย่างนี้เป็นวาจาหยาบคาย พูดคำหยาบ ฟังไม่ได้เหมือนเอาก้านบัวที่เต็มไปด้วยหนามมายอนหู  ไม่เพ้อเจ้อ ...เพ้อเจ้อ คือคำพูดที่ไม่มีหลักฐาน พูดลอย ๆ มีหลักฐานความจริง เช่นหลวงปู่สอน คุณยายสอน พระอาจารย์สอน  ไม่
6. สัมมาวายามะ มีความเพียรชอบ ปรารภความเพียร พยายามประคองจิตไว้เพื่อละบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้นไม่ให้เกิดขึ้น ปรารภความเพียร มีความพยายามประคองจิตไว้ เพียรทำกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น  ทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญ เป็นต้นว่าหลีกเร้นไปอยู่ป่า ประกอบความเพียร ทำนิมิต ภาวนาสัมมาอรหัง แล้วทำอุคคหนิมิตและทำปฏิภาคนิมิตให้เกิดขึ้น อย่างนี้ทำกุศลธรรมเรียกว่าทำกุศลนิมิต   ..อย่างสมมุติว่าเราอยู่คนเดียว มันไม่มีกำลัง ก็ต้องไปหาครูบาอาจารย์ ... ไปหาเพื่อนภิกษุ .. เพื่อคุยเรื่องนี้ ให้เกิดศรัทธา เกิดกำลังใจ เกิดวิริยะอุตสาหะ การเข้าใกล้ครูบาอาจารย์ทำให้เกิดกำลังใจมั่น

7. สัมมาสติ คือระลึกชอบ ย่นย่อว่ามีสติตามระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงจาคานุสสติ นึกบุญที่บริจาคไปแล้ว   นึกถึงสีลานุสสติ ศีล 5 ศีล 8 ที่เราได้รักษาแล้ว   นึกถึงความตายหรือมรณานุสสติ   นึกถึงทานที่ทำดีแล้ว   ปีติเกิดต่อเนื่อง เกิดความสุข เกิดสัมมาสมาธิ ใจเป็นอารมณ์เดียว วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข  เอกัคตา

พุทธานุสสติ เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงองค์พระ พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ พุทธรัตนะนั่นเอง พระพุทธเจ้าผู้รู้ ผู้ตื่น เราก็ภาวนาสัมมาอรหังไปด้วย อย่างนี้เรียกว่าอนุสติ หรือนึกทานที่ทำไว้ดีแล้ว นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงสีลานุสสติ พร้อมภาวนาสัมมาอรหังไปเรื่อย ๆ มีสติไปเรื่อย ๆ จนปีติเกิดต่อเนื่อง เกิดความสุขกระทั่งเกิดสัมมาสมาธิ ใจเป็นอารมณ์เดียว นี่วิตกวิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา

8. สัมมาสมาธิ เอาใจตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายภายในตัวจะพบดวงปฐมมรรค ปฐมฌาน  เห็นศีลตัวเอง เห็นจิตตัวเอง เห็นธรรม เห็นปัญญา เดินตามอริยมรรคเลยทีนี้  ได้ฌานที่ 2 ..3 ..4 ตรงนี้คือการเข้าถึงพุทธรัตนะ   เข้าถึงผู้มีจักขุ ปัญญา  วิชชา  แสงสว่าง หรือพุทธรัตนะนั่นเอง  ...หลังจากที่เข้าถึงจักขุ ปัญญา วิชชา แสงสว่างแล้ว ก็จะเห็นทุกข์ว่านี่คือทุกข์ กำหนดรู้แล้วหลังจากที่เกิดจักขุ ญาณ ปัญญาวิชชา แสงสว่าง ตรงนี้เรียกว่าเข้าถึงพุทธรัตนะหรือพระธรรมกาย เรามาฟังเพลงเข้าถึงพระธรรมกายกัน    (เพลง...เข้าถึงพระธรรมกาย)

เราจงดีใจเถิดที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้สร้างบารมี ได้ปฏิบัติธรรมตามหนทางสายกลาง  เพื่อเข้าถึงผู้รู้ผู้ตื่น  ผู้เบิกบาน หรือพุทธรัตนะผู้มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เราได้เป็นมนุษย์มีโอกาส ชีวิตนี้เล็กน้อย นิดหน่อย เพราะฉะนั้นต้องรีบปฏิบัติธรรมตามคำสอนครูบาอาจารย์ คือตามบุญกับตื้อนั่งอย่างที่คุณยายสอนเอาไว้  หลวงปู่สอนไว้ว่าเรียกบุญบารมี 10 ประการก่อนจะนำนั่ง

พระพุทธเจ้า ก็นึกถึงบารมีทั้ง 10 ประการที่บำเพ็ญมาดีแล้ว ในที่สุดบรรลุได้ เพราะฉะนั้นเราท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท หมั่นฝึกฝนตน ทำใจตนให้สงบเป็นสมาธิ ให้เข้าถึงพระพุทธเจ้า จงมีสัมมาสติ มีสตินึกถึงพระพุทธเจ้าไว้กลางกาย ภาวนาว่าสัมมาอรหัง ให้มีปีติในทาน มีปีติในศีลที่เราทำแล้วเสมอ ทำอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเรามีปีติ ปีติจะเลี้ยงใจให้ชุ่มชื่น มีความสุข  นั่งนอนยืนเดิน หลับตา ลืมตา ก็เป็นสุข พูดกับใครก็เป็นสุข เราควรมีปีติและความสุขในทุกวัน การเกิดมาเป็นมนุษย์ของเรานี้ต้องเกิดมาเพื่อมีปีติ มีความสุขในการตามระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หรือนึกถึงบุญกุศลที่ทำตลอดเวลา เราจะต้องมีกระแสบุญหล่อเลี้ยงใจเสมอตลอดเวลา

พระอาจารย์สอนชาวเกาหลีท่านหนึ่ง เขาสวดมนต์ตลอดเวลา แล้วเขาก็เข้าถึงพระธรรมกายครั้งแรก มาวันนี้เขาทำวิทยานิพนธ์เรื่อง วัดพระธรรมกาย การปฏิบัติธรรมแบบพระธรรมกาย และผลการปฏิบัติธรรม และพูดถึงพระอาจารย์ผู้สอนเขา   ….ทำไมเขาถึงได้บรรลุเลย เพราะเขาสวดมนต์ตลอดเวลา หมายความว่าเป็นสัมมาวายามะ คือมีความเพียรขจัดบาปอกุศล มีความเพียรที่จะเจริญกุศล มีสัมมาสติคือนึกถึงพระพุทธเจ้าของเขา เขาก็เลยได้สัมมาสมาธิด้วยประการฉะนี้   เราท่านทั้งหลายอยู่ประเทศไทย มีหลวงปู่เป็นต้นแบบ ไม่ได้ยอมตาย ก็จงทำอย่างนั้นเถิด เรานึกถึงหลวงปู่ผู้ค้นพบวิชชาธรรม เรามาฟังเพลงร่มธรรม (เพลง...ร่มธรรม)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2561   พระครูสังฆรักษ์อน...