วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
พระภาสุระ ทนฺตมโน
แสดงธรรมเรื่อง เส้นทางนักสร้างบารมี
ห้องSPD 4 สภาธรรมกายสากลฯ
**********************
ไม่ได้มาเยี่ยมโรงเรียนอนุบาลซะนานเลย ไปตะลอนอยู่ต่างประเทศ
ทุก ๆ ครั้งหลวงพี่ชอบมาเล่าเรื่องของการไปต่างประเทศ มาเล่าบรรยากาศว่าชาวต่างประเทศเขาสนใจสมาธิกันอย่างไร
วันนี้จะเปลี่ยนมาคุยเรื่องอื่นบ้าง แต่ปกติเวลามาเล่าเรื่องชาวต่างประเทศ สาเหตุที่เล่าเพราะอยากจะให้พวกเรามีกำลังใจ ว่าเราเจอของดี คนเรานี่แปลกนะ เห็นของดีอยู่ใกล้ตัวทุกวันแล้วรู้สึกเฉย ๆ หลวงพี่เข้าวัดตั้งแต่เด็ก เรียกว่าเข้าวัดตั้งแต่เกิดดีกว่า จำความได้ก็วิ่งเล่นในวัดแล้ว ตั้งแต่เด็กมา ทุกบุญ บุญใหญ่หมดเลย
คนเราจะมีลักษณะถ้าอยู่ใกล้แล้วจะลืม ความประมาทเป็นตัวหลักเลย
เพราะว่าแม้กระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท้ายสุดหลังจากเทศนาสั่งสอนสรรพสัตว์มา 45
พรรษา คำที่สั่งสอนคำสุดท้ายคืออย่าประมาท
เพราะฉะนั้นเวลาที่หลวงพี่เล่าเรื่องต่างประเทศว่า เขาสนใจสมาธิกันอย่างไร
คืออยากให้พวกเรารู้จักนึกถึงคุณค่าว่าเราโชคดี
มีบุญขนาดไหนที่ได้มีโอกาสได้เจอคำสอนว่าไม่ประมาท ลองนึกดูเราเกิดมาเราก็เจอเลย มีพระบิณฑบาตแล้วหน้าบ้าน
เป็นเรื่องปกติ ปู่ย่าตายายก็ใส่มา บุญทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่พอเจอคนอื่นเขาไม่ได้เจออย่างเรา
หลวงพี่เคยเล่าไปประเทศอินเดีย เป็นหมู่บ้าน เป็นประเทศที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรม สั่งสอนครั้งแรก ปักหลักพระพุทธศาสนา บทธัมมจักกัปปวัตตนสูตรครั้งแรกมาจากประเทศอินเดีย
ปรินิพพานก็ที่ประเทศอินเดีย ไปที่หมู่บ้านชาวพุทธเข้าไปสอนสมาธิ
เป็นหมู่บ้านต่างจังหวัดอินเดีย ปกติต่างจังหวัดประเทศไทยยังไม่ได้ไปเลย
ไปต่างจังหวัดอินเดียแทน เป็นบ้านที่ทำจากมูลวัว เหมือนในพระไตรปิฏก เขารักษาทุกอย่างในพระไตรปิฎก 2600 ปี ได้
เป็นบ้านที่ทำจากมูลวัวทำกลม ๆ เป็นโดมแล้วมี 8 มุม ประตูเข้าเล็กมาก
หลวงพี่ต้องก้มเข้าไป มีรูปพระพุทธเจ้าอยู่ข้างในบ้าน
เขาพูดมาประโยคหนึ่งว่า เป็นชาวพุทธมา 60 ปีแล้ว
เพิ่งเคยเห็นพระภิกษุตัวเป็น ๆ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ฟังแล้วสะเทือนใจเลยนะ
หลวงพ่อท่านเคยบอกว่าประเทศที่มีรอยเท้าของพระอรหันต์ย่ำไปหมดทั้งผืนดิน
ผืนฟ้า และท้องน้ำ ดินแดนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลือกมาเกิด ตรัสรู้
แสดงธรรมครั้งแรก และปรินิพพาน เป็นชาวพุทธประเทศอินเดียไม่เคยเห็นพระมา 60 ปี
หลวงพี่เดินเข้าไปในหมู่บ้านตะโกนเรียก Buddha มาแล้ว ทำให้นึกย้อนว่าเราเกิดมาเจอพระมาตั้งแต่เด็ก
แต่เราให้ความสำคัญกับสิ่งนี้หรือไม่ เราโชคดีที่มาเจอครูบาอาจารย์ที่ให้เป้าหมายชีวิตมีการสร้างบารมีชัดเจน
ที่ท่องกันเป้าหมายชีวิตคือที่สุดแห่งธรรม
มีระหว่างทางให้ด้วย ถ้ายังไม่ถึงไปที่นี่ก่อน บอกวิธีการทำให้หมดเลย การบ้าน 10 ข้อ แจกแจงตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน
ให้รายละเอียดทุกอย่าง
เคยเถียงกับฝรั่ง หลวงพี่เคยดูแลพระฝรั่ง เป็นชาวอเมริกัน บวชที่เมืองไทย
ปีแรกพรรษาแรกของท่านเป็นพรรษาที่ท่านมีคำถามมาก ทุก ๆ 2 วัน ต้องมานั่งตอบคำถาม 3
ชั่วโมง ถามทุกเรื่อง ..กล้าถาม ... หลวงพี่ก็กล้าตอบ
ตอบจนกระทั่งรู้สึกว่าเราเป็นคนไทยเราเรียนหนังสืออย่าถามครูให้ทำตาม แล้วต่อไปจะดีเอง จึงสวนกลับพระฝรั่งองค์นี้ไปว่า คุณจะเชื่ออะไรง่าย
ๆ สักครั้งได้ไหม ไม่ต้องถาม
เขาบอกว่า “ชีวิตฉัน ไม่เหมือนชีวิตคุณนะ
คุณเกิดมากับคำสอนพระพุทธเจ้าทุกอย่างเป็นสัจธรรมพิสูจน์ได้จริงหมด ฉัน เกิดมากับโลกที่เต็มไปด้วยสารพัดทฤษฏี
เดี๋ยวโลกแบน เดี๋ยวโลกกลม ทุกวันนี้เป็นรูปไข่ก็มี โลกเป็นศูนย์กลางสุริยจักวาล แต่เดี๋ยวนี้บอกเป็นดวงอาทิตย์ ทฤษฏีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจะเชื่ออะไรต้องถามเยอะหน่อย”
เราก็ไม่เคยคิด หลวงพ่อทัตตชีโวเคยให้นัยยะไว้ว่า ...ธรรมะคือธรรมชาติอันบริสุทธิ์
หลวงพี่จะบอกฝรั่งว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ได้เป็นผู้คิดค้น แต่ท่านเป็นผู้ค้นพบ สิ่งที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ เวลาต่างชาติมาถามเรื่องพระพุทธศาสนาเราต้องเลือกอธิบายให้ถูกว่า
อธิบายเรื่องนี้เป็นปรัชญา เป็นศาสนา เป็นวิถีชีวิต พระพุทธศาสนาเป็นได้ทั้ง 3 อย่าง
คนต่างชาติ ต่างศาสนาที่ให้ความสนใจพระพุทธศาสนาปัจจุบันนี้
สนใจในทางปรัชญา วิถีชีวิต การใช้ชีวิตบนพื้นฐานที่นำความสุขมาให้
และเขารู้สึกว่าพระพุทธศาสนาให้คำตอบที่ชัดเจนที่คือสาเหตุ
เพราะฉะนั้นต้องอธิบายลักษณะนี้
เช่น การอธิบายเรื่องศีล
พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดศีล เพราะถ้าท่านเป็นผู้กำหนด
เวลาเราทำผิดศีลคนที่ลงโทษไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่กรรมเป็นตัวจัดการทั้งหมดเลย เราทำอะไรกรรมก็เกิดขึ้นแก่เราทั้งนั้น ซึ่งต่างจากศาสนาอื่นที่มีการพูดเหมือนกับเป็นการลงโทษจากเทพเจ้า แต่ศาสนาพุทธไม่ใช่
ศีลก็ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติ
แต่เป็นสิ่งที่ท่านค้นพบ
ว่าถ้าอยากจะประคองชีวิตให้มีความสุขเริ่มด้วยการแบ่งชีวิตดี ชั่วในชีวิตให้เป็น
แล้วศีลคือมาตรฐานขั้นต้นที่แบ่งชีวิตดี ชั่ว ได้มาจากการเข้าใจตัวเองก่อน คนเราพอเข้าใจตัวเองรู้เลยว่ามีความรักเรื่องอะไร
เมื่อรักสิ่งใดคนอื่นก็รักสิ่งนั้นเช่นเดียวกัน
เราทุกคนรักชีวิต ทรัพย์สิน
ครอบครัว ความสัตย์จริง มันก็เลยเป็นศีล 4 ข้อแรก การที่เราไม่ทำร้ายใคร
ไม่ฆ่าใครคือการที่เรามอบความปลอดภัยในชีวิตให้แก่เขา
การที่เราไม่ไปลักขโมยของใครคือการที่เรามอบความปลอดภัยในทรัพย์สินให้แก่เขา ข้อ 4
ก็คล้าย ๆ กัน พอข้อ 5
จะเป็นเรื่องของการที่เราจะประคองตัวรักษาสติจะได้ไม่ไปละเมิดสิทธิของใคร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรักสิทธิมนุษยชน ให้สิทธิคนเท่าเทียมกัน
ศีลมีอยู่แล้วในธรรมชาติ หลักธรรมของท่านแต่ละข้อเป็นสิ่งที่ค้นพบในธรรมชาติ
ถ้าเรามีโอกาสมองทุกอย่างในชีวิตที่เกิดขึ้นกับเราแล้วตั้งคำถามเราจะเริ่มเกิดการคิดขึ้นมา
คิดและหาคำตอบ
เพราะอย่าลืมว่าบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในโลกประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไรก็ตามมาจากการคิดตั้งคำถามเป็นหลัก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็เช่นกัน
เจอเทวทูตทั้ง 4 ตอนไปในอุทยานเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ตั้งคำถามเราจะเป็นไหม
แล้วคนอื่นรอบตัวจะเป็นไหม ที่ทุกข์มีวิธีแก้ไหม
เพราะนิสัยการค้นไปถึงต้นตอของท่าน จึงทำให้ท่านออกบวชมาเป็นนักวิจัย หาคำตอบ
วิธีการแก้ทุกข์ จากความแก่ ความเจ็บ ความตาย จึงได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค้นคิด
ไปค้นพบธรรมะมาสอนเราทุกวันนี้
แต่เรายุคหลังเป็นลูกหลานท่าน
ไม่ถามเลย สอนให้ท่องก็ท่อง คนยุคหลังจึงรู้สึกธรรมะเป็นของล้าสมัย จริง ๆ
แล้วสิ่งที่ล้าสมัยไม่ใช่ธรรมะ เราไม่รู้จักปรับใช้ให้ตรงกับบริบทในปัจจุบันเอง
ถ้าเราเข้าใจแก่นของพระพุทธศาสนาแล้ว มันเป็นสิ่งที่มีในธรรมชาติ
เช่นปลูกข้าวก็ต้องเป็นข้าว ปลูกถั่วก็ต้องเป็นถั่ว เป็นไปตามขบวนการของมันเองพอเราไม่ถาม ฝรั่งเขายังถามเลย
มีผู้ชายคนหนึ่งนอนอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล
ลูกแอปเปิ้ลตกใส่หัว คิดว่าทำไมหล่นใส่หัว ทำไมไม่ลอยขึ้นฟ้า จึงค้นพบแรงโน้มถ่วง
กลายเป็นเซอร์ไอแซกนิวตัน แค่เราตั้งคำถามชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
ถ้าเราปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤตไม่ 7 วัน 7
เดือน 7 ปี มีโอกาสบรรลุธรรม แล้วเราต้องคิดว่าทำอย่างไรให้มันสว่าง
ที่เราทำมาทำผิดตรงจุดไหน
แค่ตั้งคำถามได้คิด ได้พิจารณาตัวเองว่าเราทำอะไร
คนเราต้องรู้จักการตั้งคำถามกับชีวิต แต่ไม่ใช่ถามตอนนั่งสมาธิ
หลวงพ่อท่านสอนสมาธิประโยคเริ่มต้นท่านสอนเหมือนเดิม หลับตาเบา ๆ พอสบาย ๆ
ผ่อนคลายร่างกายนึกอะไรที่เบา ๆสบายกันนะจ๊ะ เหมือนเดิม แต่เราก็ทำย้อนศรทุกที
หลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยาย
ของเราเป็นคนที่ตั้งคำถามประเภทนี้ เกิดมาทำไม หลวงปู่ได้คัมภีร์มาผูกหนึ่ง
สาเหตุที่ท่านไปเรียนบาลีเพราะท่านได้คัมภีร์มาผูกหนี่งเป็นเรื่องปฎิจสมุปบาท
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เป็นขั้นเป็นตอน เริ่มต้นจากอวิชชา
หรือความไม่รู้ อวิชชาเป็นปัจจัย ท่านอ่านแล้วท่านก็ถามว่าแล้วอวิชชามาจากไหน
อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดอวิชชา หลวงปู่ท่านแปล คำว่าอวิชชา ว่า ความไม่รู้จริง
แสดงว่าเรารู้บางเรื่อง แต่ที่รู้ผิดหมดเลย เลยคิดว่าตัวเองรู้ แต่ที่รู้ไม่รู้
เพราะรู้ไม่จริง
เช่น
รู้ว่าเป้าหมายชีวิตที่ไม่ใช่ของจริงก็ดำเนินชีวิตไม่ถูกทาง ไม่ไปถึงของจริง
ไม่รู้ หรือรู้ไม่จริงว่ากฎครอบคลุมโลกมีทั้งกฎของกรรม กฎไตรลักษณ์ ก็เกิดความประมาทในการดำเนินชีวิต
หลวงปู่ใช้เวลา 12 พรรษา
ค้นหาคำว่า อวิชชา อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดอวิชชา จนกระทั่งท่านเข้าถึงพระธรรมกาย
เริ่มต้นจากทำไม
คุณยายอาจารย์ก็เหมือนกัน
คุณยายก็มีคำถามแบบนี้ หลวงพ่อท่านก็มีคำถามเหมือนกัน ทุกคนที่เกิดมาก็มีคำถามแบบนี้
แต่ไม่ค่อยได้ถาม ไม่ค่อยได้คิดต่อ จะมีบางเวลาที่ชีวิตมันโล่ง ๆ มีทุกอย่างแต่รู้สึกเหมือนไม่มีอะไร
เหมือนขาดอะไรในชีวิตไป คนในปัจจุบันนี้แปลก สมัยก่อนเราดูคนสมัยก่อนเราอ่านประวัติคนใน สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง คนไม่มีจะกิน
ยากจน ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมแรงงานเงินเดือนน้อยมาก
แต่ไม่เห็นมีคนอยากตาย
ปัจจุบันเทคโนโลยี
เครื่องอำนวยความสะดวก อาหารมีมากมาย บางประเทศร่ำรวยมาก ชีวิตทางกายภาพครบทุกอย่าง พออายุ 45 ขึ้นไปเป็นโรคซึมเศร้า เครียด อยากตาย
บางประเทศมีกฎหมายอนุญาตให้ตาย
ไปหาหมอให้ตรวจสภาพจิตว่ามีชีวิตอยู่เพียงพอแล้วพร้อมที่จะตาย ฉีดยาให้ตาย
ประเทศในยุโรปตอนตะวันตกบางประเทศมีกฎหมายอนุญาตให้ตายได้
คำถามที่จะต้องถามตัวเองให้ชัดโลกปัจจุบันที่มีทุกอย่างสมบูรณ์
คนกลับมีปัญหาเรื่องโรคซึมเศร้า โรคเครียด
คนสมัยโบราณชีวิตทางกายภาพไม่สะดวกสบายทำไมเขายังอยากมีชีวิต
เพราะเขาได้คำสอนในแต่ละศาสนาให้คำตอบที่อยู่ในใจเขา
เพราะวันนี้เราลืมไปจึงรู้สึกว่ามีช่องว่าง
ช่วง 2-3
อาทิตย์ที่ผ่านมาประเทศไทยดัง
หนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่องนักฟุตบอลทีมหมูป่าติดถ้ำหลวง 13 ชีวิต เป็นเวลา 10
กว่าวัน และออกมาได้เป็นข่าวดังไปทั่วโลก
แม้กระทั่งกุนซือ MANCHESTER
UNITED ทีมฟุตบอล พูดว่า HERO ไม่ได้อยู่ที่บอลโลก
แต่ HERO อยู่ที่เมืองไทย
แต่เราเป็นคนไทยมองว่า ดราม่ากันหรือเปล่า
แต่ไม่ใช่นะ มันดังไปทั่วโลก
และที่น่าสนใจคือทำไมคนทั่วโลกเขาให้ความสนใจกับเรื่องทีมหมูป่า คนที่ไม่เคยติดถ้ำจะไม่รู้ คนสมัยนี้มีโรคแปลก ๆ
เยอะ อาการทางจิตแปลก ๆ เยอะ
ยกตัวอย่างอาการทางจิตวิทยาที่เรียกว่า
โรค Claustrophobia อาการกลัวที่แคบ
เคยมีคนที่ประสบเหตุที่เข้าลิฟต์ขึ้นลง มีอาการอึดอัด เหมือนหายใจไม่ออก
จะขาดใจตาย มีความรู้สึกว่าผนังรอบข้างมันบีบตัวเรารู้สึกอึดอัด
13
ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำอยู่ในบรรยากาศที่ไม่มีอาหาร อากาศเบาบาง มืดสนิท ไม่มีความหวังอะไรเลย เป็นสภาวะที่ทำให้คนถึงขีดจำกัด
มีนายแพทย์ท่านหนึ่งอยู่สาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พูดว่า ขณะที่เด็กติดถ้ำ พวกเขาจะต้องประสบกับความตื่นตระหนก
หวาดกลัว สับสน อ่อนแอ
ต้องการที่พึ่ง จนกระทั่งท้อแท้หมดหวัง
สภาวะจิตจะแย่มาก
แต่แปลกที่นักดำน้ำโผล่ขึ้นมาเจอ ทั้ง 13 หมูป่า เด็กพูดว่าบอกเขาไปซิว่าเราหิว สภาพของเด็กดูไม่สับสน ไม่ท้อแท้ สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ด้วย
จึงเป็นข่าวดังขึ้นไปกว่าเดิม
มีการเขียนข่าวว่าโค้ช สอนให้เด็กนั่งสมาธิ เพื่อที่จะใช้พลังงานน้อยลง
หนังสือพิมพ์ต่างประเทศลงข่าว เช่นหนังสือพิมพ์ New York times , หนังสือพิมพ์
The Washington Post พาดหัวข่าวว่า โค้ชให้เด็ก ๆ นั่งสมาธิ
เพื่อให้เด็ก ๆ สงบจิต เราควรจะเรียนรู้จากเด็กเหล่านี้ จากคนเหล่านี้
กลายเป็นว่าในสภาวะที่ถูกขีดจำกัดสุด
ๆ คนเราสามารถเปลี่ยนความคิดและสงบใจได้ ให้มองดูว่าคนทั้งโลกมีสภาวะที่ถูกกดดันตลอดเลยเพียงแต่เราไม่เห็น
หลวงพี่เคยไปสอนสมาธิในคุกในประเทศบราซิล
เขาไม่รู้จักมนุษย์ที่ใส่ยูนิฟอร์มสีส้มกับโกนหัวเรียกว่าอะไร คืออะไร เขาถามว่า what are you? คุณคืออะไร
เราก็ตอบว่าเป็นพระภิกษุ แต่ไม่ได้มาสอนกังฟูคุณนะ หน้าตาเขาผิดหวังมากเลย เพราะเขาคิดว่าพระทั้งโลกเป็นพระเส้าหลิน ก็เลยบอกว่าพระมีศีล มีพระวินัยที่ต้องปฏิบัติ 227 ข้อ เขาก็เข้าใจ มี ชุดส้ม 2 ชุด ฉันอาหารได้ 2 มื้อ
โดยเลือกไม่ได้ แล้วแต่ใครจะเอาอะไรมาให้
และก็ไม่มีแฟนทั้งหญิง ชาย เขาก็ขำและบอกว่าชีวิตเราเหมือนเขาเลย (ชีวิตเหมือนนักโทษ)
จึงบอกเขาว่า จริง ๆ แล้ว
สิ่งที่คุณพูดถูก เรามีชีวิตคล้าย ๆ กัน แต่เรามีอย่างหนึ่งที่ต่างจากเขาคือ
เรามีอิสรภาพ แต่อิสรภาพนี้ไม่ใช่เพราะว่าอยู่นอกกำแพงนี้
แต่เพราะว่าใจของเราเป็นอิสระ คนเราไม่มีทางถูกขังใจได้ และถามเขาว่า...คุณคิดว่าคนที่อยู่นอกกำแพงคุกนี้มีอิสระหรือไม่
ไม่ต้องตื่นนอนมาตอนเช้า ไม่ต้องไปทำงาน เลิกเป็นพ่อ เป็นแม่ไม่ได้ เขาอยู่ในอีกคุกหนึ่งที่เรียกว่า
คุกทางสังคม คุกทางเศรษฐกิจที่ตังเองสร้างขึ้นมา และก็ต้องอยู่อย่างนั้นเลือกไม่ได้เหมือนนักโทษ
มีคุกใหญ่กว่านั้นคือ คุกแห่งสังสารวัฏ
จะว่าไปก็เหมือนติดถ้ำ อยู่ในสภาพที่ไม่เห็นทางออกว่าอยู่ตรงไหน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบารมีมา 20 อสงไขย แสนมหากัป มันยาวนานจนนึกไม่ออกเลย
คุกที่ขังเราก็ไม่ได้มีข้าวฟรีให้เรากิน เราต้องทำงานแลกมา
เมื่อไปทำผิดกฎแห่งกรรมก็มีผลตามมาอีก แต่ละวินาทีอยู่เฉย ๆ ก็หิว
เดี๋ยวก็อยากเข้าห้องน้ำ ความต้องการในชีวิตเยอะ
ความหวังก็เหมือนกันมืดหาทางออกไม่เจอ จะพ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เหมือนกับติดอยู่ในถ้ำชีวิตของนักสร้างบารมี
มันอยู่ที่ว่าเราไม่ได้มองไม่ได้คิด ไม่ได้ทำ เพราะคุกนี้ดูดีเหลือเกิน เรายังมีโทรศัพท์ให้เล่นลืมไปว่าติดคุก พอไม่ได้หยุดคิด ไม่ได้หยุดถามก็จึงไม่เกิดความคิดที่อยากจะออก
มันแปลก
ทั้งที่เราก็ท่องอยู่ทุกวัน
เป้าหมายชีวิตคือที่สุดแห่งธรรม ออกจากคุก นี่คือที่มา แต่เมื่อเรามีโอกาสได้หยุดคิด
ในข่าวมี ท่านหนึ่ง ชื่อ ดร.
เลอาห์ไวซ์ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พูดว่าสมาธิช่วยเด็กเหล่านี้ได้อย่างไร
ท่านเป็นอาจารย์สอนเกี่ยวกับวิชาธุรกิจ แต่ตัวเขาเป็นคนที่ฝึกสมาธิด้วย
และก็ตั้งคอร์ดเกี่ยวกับสมาธิในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เพื่อให้คนเรียนทั้งธุรกิจ และเรียนสมาธิไปด้วย
เพราะเขาเชื่อว่าสมาธิมีประโยชน์กับชีวิต เวลาข่าวออกมาเขาก็ให้สัมภาษณ์ว่า
สมาธิมีประโยชน์ช่วยเด็กอย่างไร
สรุปบทสัมภาษณ์
ดร.เลอาห์ไวซ์
จริง ๆ
แล้วเวลาคนเรามีภัยมาถึงตัวความนึกคิดอย่างมีเหตุมีผลมันจะหายไปด้วยความกลัว
แต่พอคนทำสมาธิเราจะได้ขบวนการความคิดแบบมีเหตุผลมีตรรกะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
และนั่นหมายถึงความสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เพิ่มขึ้น ทั้ง ๆ
ที่ไม่มีอากาศเพียงพอ อาหารก็ไม่เพียงพอ เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเด็กชุดนี้ สมาธิเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด ใช้การได้ดีที่สุดเหมาะสมกับสถานการณ์ที่มีจำกัดเช่นนี้
เดี๋ยวนี้สมาธิในโลกนี้เขามีวิจัยแล้ว
ว่ามีผลกับชีวิตคนเช่นไร มีผลต่อสภาพจิตอย่างไร สมาธิทำให้หัวใจเต้นช้าลง
การหายใจก็ลดลง การเผาผลาญพลังงานก็ลดลง นั่นหมายถึงทำให้ ฮอร์โมนความเครียด(cortisol) ลดลง มี
cortisol เยอะ ๆ ชีวิตจะเครียด จึงทำให้การใช้ oxygen และการปล่อย carbon
dioxide จากการหายใจมีประสิทธิภาพมากขึ้นใช้ oxygen น้อย นั่นหมายถึงร่างกายผ่อนคลายมากขึ้น
สิ่งที่เขาพูดตรงกับที่หลวงพี่พูดไว้ว่า
คนในปัจจุบันการใช้ชีวิตเหมือนมีครบ แต่มีความเครียดลึก ๆ
ก็เพราะว่าตัวพวกนี้มันเกินหมดเลย คนปัจจุบันปัญหาชีวิตคือ โรคหัวใจ โรคความดันสูง
อ้วน เครียด
ความเครียด
เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบทางกายภาพของมนุษย์เมื่อเจอภัย เช่น เวลาไฟไหม้
จะมีแรงยกตู้เย็นออกจากบ้านได้ พอไฟดับยกกลับไม่ได้ แรงไม่มี ฮอร์โมน cortisol ตัวนี้คือสิ่งสำคัญ
ระหว่างที่มีภัยเกิดขึ้นกับชีวิต
ร่างกายเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบให้ร่างกายเรามีแรงเป็นพิเศษ รู้สึกทำงานแล้วได้ผลผลิตมากเป็นอาการเครียดนิด
ๆ
แต่ทุกวันนี้เราไม่ได้มีภัยเหมือนคนในสมัยที่อยู่ในป่าเขาที่จะต้องคอยหลบเสือ
หมี เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องการ cortisol ขนาดนั้น สิ่งนี้กระตุ้นมาจากงาน ครอบครัว ยอดขาย เจ้านาย เป็นความเครียดทั้งหมดและกลับไปเจอทุกวัน
จึงเกิดภาวะเครียดเรื้อรัง ใครที่จะลดความอ้วนห้ามเครียด เพราะ cortisol
พอมันหลั่งออกมาแล้วทำให้สมองใช้พลังงานเยอะทำให้อยากกินของหวาน
เพราะสมองใช้น้ำตาลเป็นตัวหลัก พอเราใส่ไปเยอะ
เผาผลาญกลายเป็นไขมันไปเกาะที่พุงของเรา
คนเครียดจะตัวกลมเพราะกินสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพเป็นเรื่องปกติเพราะร่างกายต้องการาอาหารประเภทไขมันสูง
ๆ หวาน ๆ มากๆ
เมื่อย้อนกลับไปเด็กนั่งสมาธิสงบใจ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือการยอมรับความเป็นจริง
ที่เขาทึ่งเพราะสถานการณ์ขีดจำกัดบีบคั้นขนาดนั้น มนุษย์ส่วนใหญ่ ตัวอย่าง
เราไปทำงานที่ออฟฟิศ มีอะไรขัดหูขัดตาขึ้นมาก็โทษกันไปมาเพื่อหาคนผิด
และเกิดอาการเห็นแก่ตัว เอาตัวรอด เวลาคนมีขีดจำกัดมักจะมีอาการเช่นนี้
แต่เด็กชุดนี้มีอะไรเท่าไหร่ก็แบ่งกัน
ใช้ไฟฉายทีละกระบอก ใช้ให้ได้นานที่สุด
ซึ่งมันผิดปกติของมนุษย์ในเวลาที่อยู่ในช่วงขีดจำกัด ตรงนี้จึงน่าสนใจ ถ้าเราได้ฟังประวัติของเด็กชุดนี้เราจะได้ยินว่า
โค้ชเอก ไม่ได้เพิ่งสอนสมาธิให้เด็ก แต่เคยไปสอนเป็นปกติอยู่แล้ว
เด็กจึงคุ้นกับการทำสมาธิ สิ่งนี้ทำให้เขามีสติ
สติคือการตั้งมั่น ไม่กังวล
พอจิตตั้งมั่นก็วิเคราะห์สถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
ว่าตอนนี้ความเป็นจริงเป็นอย่างนี้ และก็ทำอย่างไรที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้นให้ได้
ความสามารถในการแก้ปัญหาเกิดขึ้นทันที
ที่กล่าวมาทั้งหมดเพราะว่าตัวเราเอง
ก็ถือว่าปฏิบัติธรรมกันมานาน เราชอบพูดถึงการทำบุญสร้างกุศล จิตผ่องใส บรรลุธรรม
แต่เราไม่ค่อยได้มองประโยชน์ทางกายภาพที่เกิดจากสมาธิแล้วเอามาใช้ เพราะที่จริงแล้วการทำสมาธิทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข
ปรับเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิต และการต่อสู้กับปัญหาชีวิต
ทฤษฏี เวลาชีวิตมีปัญหาจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ 4 แบบ
1.FIGHT คือ ฟัดเลย
เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบแบบคนขี้โมโหเหมือนไปกองหนึ่งที่เผาไปเรื่อย ๆ และไม่รู้ตัวเอง
-Instantly โต้ตอบทันที่ทันใด
- Irritation รำคราญ
- Defensive ปฏิกิริยาป้องกันตัว
ฉันไม่ผิด ๆ แต่เธอผิด
2.FLIGHT คือหนีปัญหา ประเภทต้องส่งงานพรุ่งนี้ปิดโทรศัพท์ไม่รับสาย
คิดว่าถ้าฉันไม่ได้ยินปัญหาคงไม่มี เดี๋ยวมันคงหายไปเอง
หนีหายไปเลย พวกนี้จะมีอาการ
- Anxiety ตระหนก
- Depressed หดหู่ หลบซ่อน
พวกโลกสวย ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข
3. FREEZE คือเฉย
แปลว่าแช่แข็ง พวกยอมแพ้ยกธง เป็นอารมณ์ที่ไม่คิดจะแก้ปัญหาอะไรเลย
และไม่รู้ว่าตัวเองจะแก้ปัญหาอย่างไร
- Give up ยอมแพ้
- Numbing เป็นอาการของคนชา
ๆ คนที่เจออะไรในชีวิตเยอะ ๆ แล้วยืนเฉย ๆ นิ่ง ๆ ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรเลย
เพราะเขาไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร
4. FACE เผชิญหน้า คนพวกนี้น่าสนใจ
เป็นคนลักษณะจะเป็นคนที่นิ่งส่วนว่าเขาจะแก้ปัญหาด้วยวิธีไหน เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที บางทีอาจจะยังไม่ทำอะไร รอก่อนก็ได้ ลงมือทำอะไรก็ได้
แต่เขาได้ไตร่ตรองทั้งหมดแล้ว 13 หมูป่าก็มีลักษณะอย่างนี้ เพราะเขาใช้สมาธิ
- Calm คือนิ่ง
- Rational มีเหตุมีผล
- Planned มีการวางแผน
- Proactive การทำไปข้างหน้า
ทำให้เป็นการกระทำ
เมื่อ Face คือเกิดการแก้ปัญหา
เหมือนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตั้งคำถามท่านก็ Face
กลับมาเลย
ความทุกข์หน้าตาเป็นอย่างนี้แล้วจะต้องทำอย่างไร
พระเดชพระคุณหลวงปู่ก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน ไม่ได้ตายเหอะ ท่านสู้
ถ้าเราสามารถทำใจให้เป็นคนที่
Face ทุกสถานการณ์ได้เราจะพร้อมรับทุกอย่างในชีวิต
เพราะชีวิตของคนเรามันมีทุกข์เป็นเรื่องปกติ
วันนี้ก็ไปสอนมา
ที่บอกทุกข์เป็นปกติก็สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรกันทุกวัน ที่สวดกันทุกวัน
ประเด็นหลักก็คือ อริยสัจ 4 ชีวิตมีทุกข์เป็นปกติ
ห้องน้ำในภาษาไทยก็แปลว่าความสุข เข้าไปปล่อยความทุกข์ แต่ที่น่าสงสัย
น่าแปลกใจเราก็เข้าห้องทุกวัน ไปปล่อยความทุกข์ทุกวัน
แต่เราไม่คิดว่าการเข้าห้องน้ำเป็นความทุกข์ เพราะเป็นความทุกข์ที่เราจัดการได้
หิวก็ทุกข์ เรารู้วิธีการจัดการ
ฉะนั้นอะไรที่เราไม่รู้วิธีแก้
เราจะรู้สึกว่ามันทุกข์มาก
ถ้าเราคิดกันทุกเรื่องในชีวิตได้เหมือนกับวิธีการเข้าห้องเพื่อปล่อยความทุกข์
ทุกอย่างมีวิธีแก้ไข ให้เราหยุดนิ่ง อย่างที่หลวงพ่อ ท่านสอน ทำใจสบายตรงฐานที่
7 มันจะเปลี่ยนจากการ FIGHT การ FLIGHT การ FREEZE มาเป็นการ FACE (เผชิญหน้า) ทันที แล้วจะค่อย ๆ
แก้ไปทีละเรื่อง
นี่คือสาเหตุว่าทำไม
ครูบาอาจารย์เราจึงบอกให้นั่งสมาธิ พยามยามให้เอาใจกลับมาไว้ที่ศูนย์กลางกายแหล่งที่ตั้งดั้งเดิมของใจ
แล้วความคิดดี ๆ จะเกิด ความคิดดี ๆ ที่จะแก้ปัญหา ทำสิ่งดี
ๆไปข้างหน้าไปถึงเป้าหมาย ความคิดดี ๆ ที่ทำให้เราได้ตั้งคำถามในชีวิตว่า
เราเกิดมาทำไม ไม่เช่นนั้นใจของเราจะลอยไปเรื่อย ๆ ไปเรื่องนั้น เรื่องนี้
เพราะฉะนั้นพอกลับมาย้อนดูเด็กทั้ง
13 ชีวิต มันก็เหมือนกับชีวิตของนักสร้างบารมีนั่นเอง เหมือนกับเราติดอยู่ในถ้ำ
เครื่องมือที่จะออกจากถ้ำนี้ ขั้นแรกเลยต้องมีสติ คือความระลึกรู้
รู้ว่าตอนเราอยู่ที่นี่ อยู่กับปัจจุบัน ยอมรับ และหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ หาวิธีการแก้ปัญหา
ซึ่งทั้งหมดนี้มีอยู่ในมรรคมีองค์ 8
เริ่มจาก
สัมมาทิฏฐิ(เห็นชอบ), สัมมาสังกัปปะ(คิดชอบ), สัมมาวาจา(พูดชอบ), สัมมากัมมันตะ(กระทำชอบ),
สัมมาอาชีวะ(เลี้ยงชีพชอบ), สัมมาวายามะ(เพียรชอบ), สัมมาสติ(ระลึกชอบ), สัมมาสมาธิ(ตั้งมั่นชอบ)
ชีวิตของเด็ก 13 ชีวิต เริ่มต้นพอเขามีความระลึก
มีสติสถานการณ์เกิดอะไรขึ้น เริ่มจิตตั้งมั่นอยู่กับที่
วิเคราะห์ยอมรับความเป็นจริงของโลก ปรับที่ความเห็น
ยอมรับความเป็นจริงก็คือการมีสัมมาทิฏฐิ คือการมองโลกตามความเป็นจริงว่า
ตอนนี้ฉันติดอยู่ในถ้ำ ไม่มีอากาศ ไม่มีอาหาร ไม่มีไฟ ออกอย่างไรก็ไม่รู้
จึงเกิดความคิดว่าแล้วทำให้ชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร จึงมาเป็นการพูด การกระทำ
ปรับวิถีชีวิต ใช้อากาศให้น้อยที่สุด ขยับตัวให้น้อยที่สุด
ใช้พลังงานให้น้อยที่สุด ค่อย ๆ กินน้ำหยดประทังชีวิตต่อไป พอทำแล้วได้ผลดี
เกิดสติมากขึ้น สมาธิตั้งมั่น และนั่งสมาธิเข้าใจดีขึ้น ยิ่งขึ้นไปอีก ตัวนี้คือ
มรรคมีองค์ 8 ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นสุดยอดคำสอนในพระพุทธศาสนา
แล้วชีวิตนักสร้างบารมีทั้งหมดต้องให้เราเอามรรคมีองค์
8 กลับมาดูในชีวิตประจำวันเราได้ทำหรือไม่ แค่เรามีสติตั้งมั่นว่า ตอนนี้ฉันติดอยู่ในถ้ำ
(คุก) ที่เรียกว่าวัฏฏสงสาร ว่ามันมีทางออก เราจะเริ่มเปลี่ยนวิธีการคิด
จะทำให้ออกต้องทำอย่างไร ความคิดชอบนี้ มันเปลี่ยนจากทฤษฎีมาเป็นความตั้งใจชอบ
มันเป็นการกระทำว่าฉันว่าจะทำอย่างนี้ ต่อแต่นี้ไปฉันจะนั่งสมาธิวันละ 1 ชั่วโมง ก่อนนอน
1 ชั่วโมง หลังตื่นนอน ทุก 1 ชั่วโมงจะหยุด 1 นาที พอทำบ่อย ๆ
ใจมันตั้งมั่นทันทีเหมือนน้ำใส ๆ ที่หลวงพ่อทัตตชีโวท่านบอก
ใสแล้วเข้าใจโลกยิ่งขึ้น
เข้าใจว่าทุกอย่างในโลกเป็นอนิจจัง
คือไม่มีอะไรคงอยู่ถาวร ทุกอย่างในโลกเป็นทุกขัง แปลว่าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ไม่มีอะไรในโลกอยู่เหมือนเดิม สุดท้ายคืออนัตตา
ที่เรียกว่าไม่มีตัวตนจริงก็คือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
เราทำหน้าที่ของเราเท่านั้นที่เหลือจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
แต่คนเราแปลกชอบทำชีวิตย้อนศรธรรมชาติโลก
เคยถามต่างชาติว่า เคยสงสัยไหมคนทำไมเอาสุขภาพไปแลกเงิน พอแก่เอาเงินไปแลกสุขภาพ
ทำไมไม่ทำทั้ง 2 อย่างไปพร้อม ๆ กัน เพราะว่าคนทั่วไปชอบคิดย้อนธรรมชาติ
พยายามควบคุมอนาคตด้วยการสร้างบ้านหลังใหญ่ ซื้อรถคันใหญ่ เก็บเงินเยอะ ๆ
คิดว่าถ้ามีแบบนี้แล้วชีวิตจะลงตัวมีความสุข
แต่ความสุขไม่ได้เกิดจากสิ่งของเหล่านี้
เพราะความสุขไม่ได้เกิดจากสิ่งที่คุณเป็น สิ่งที่คุณมี แต่เกิดจากสิ่งที่คุณคิด
สิ่งในโลกนี้มีหน้าตาคล้ายกัน เช่น เกลือ กับ น้ำตาล ความสุข และ
ความทุกข์ในชีวิตมันขึ้นกับมุมมองของชีวิต พอจิตตั้งมั่นความเห็นดี ๆ เกิดทันที
ความคิดดี ๆ ที่จะหาความสุขในชีวิตเกิดขึ้นทันที
ในฐานะเรานักนั่งสมาธิให้เราเอาเรื่องนี้กับมามองย้อนดูว่า
แล้วเราได้เอาเรื่องของสมาธิมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตของเราหรือไม่
เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าครูบาอาจารย์สอนมาอย่างดีแต่นักเรียนไม่เอาไปใช้จริงเลย
ท่องกันอย่างเดียวเลย
และนี่คือสาเหตุว่าทำไม
หลวงพ่อจึงให้การบ้านเรา 10 ข้อ ให้นั่งสมาธิทุกวัน นั่งบ่อย ๆ
เอาใจกลับไปไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 อยู่เป็นนิจเพื่อให้เกิดการตั้งมั่นชอบ
แล้วความคิดดี ๆ การมองเห็นโลกตามความเป็นจริงจึงจะเกิด และเมื่อความเห็นความคิดดี
ๆ มันเกิดจะทำให้ชีวิตของเราเริ่มไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้ ชาติหน้า
หรือที่สุดแห่งธรรม
ส่วน 13
หมูป่าเขามีมรรคมีองค์แปดที่แบ่งออกเป็น 3 ข้อย่อย ๆด้วย คือ วินัย เคารพ อดทน
แค่เขาไม่มีวินัยในการใช้ไฟฉาย ไม่มีวินัยในการอยู่ด้วยกันแค่นี้ก็อยู่ไม่ได้แล้ว
ถ้าไม่มีไฟฉายเขาก็ส่องไปหาน้ำไม่ได้แล้ว
มันมีกฎในโลกเขาเรียกว่า 333
(ขาดอากาศ 3 นาทีตาย , ขาดน้ำ 3 วันตาย, ขาดอาหาร 3 อาทิตย์ตาย)
กินน้ำยังไงก็มีชีวิตรอดอีก 3 อาทิตย์ มันไม่สบายแต่ก็ไม่ตาย
เขาก็ต้องมีวินัยในการใช้ไฟฉาย มีวินัยในการกินน้ำ
วินัยในการยืนให้ใช้พลังงานให้น้อยที่สุด วินัยคือข้อตกลง คือหลักปฏิบัติทางกาย
วาจา ที่ตกลงกันในหมู่คณะ
ความอดทน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ขันติ เปรียบเสมือนแผ่นดิน แผ่นดินไม่เคยบ่น
แต่อะไรที่ฝังลงในแผ่นดินเปลี่ยนเป็นของดีหมด เช่น ฝังขยะ กลายเป็นปุ๋ย
ฝังถ่านกลายเป็นเพชร นั่นหมายถึงการมองหาสิ่งดี ๆ
ในช่วงชีวิตที่มีปัญหาคือความอดทน ยอมรับ มองหาวิธีแก้ มองหาสิ่งดี ๆ ในชีวิต
เกิดเป็นความอดทน แต่ถ้ายังยอมรับสถานการณ์ไม่ได้ จิตยังไม่ตั้งมั่น
ความเห็นชอบยังไม่เกิด มันก็จะไม่เกิดสิ่งเหล่านี้
ความเคารพ
คือการเปิดใจมองหาข้อดีของผู้อื่น ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม
ที่หลวงพ่อทัตตชีโวท่านให้ไว้ ลองนึกดู ถ้าเด็ก 12 คนไม่มีความเคารพในตัวโค้ช
เด็กผู้ชาย 12 คนควบคุมไม่ได้ง่าย ๆ แต่โค้ชสามารถควบคุมเด็กทั้ง 12
คนให้เชื่อฟังได้ เขาถูกกำหนดมาให้มองข้อดีของตัวโค้ช และก็ฟัง เขาอยู่ด้วยกัน
จนฝรั่งเขาดำน้ำโผล่ขึ้นมาเด็กกลับไม่ตื่นกลัว ซึ่งทำให้คนทั้งโลกงง
เคยมีคนงานเหมืองที่ประเทศชิลี
ติดอยู่ในเหมือง 60 – 70 วัน เขาให้สัมภาษณ์บอกว่าเป็นเรื่องปกติเรื่องหวาดกลัว
แต่เด็กพอเจอคนมาช่วยกลับดูเหมือนคนอารมณ์ดีปกติ
เป็นต้นแบบให้เราดูได้อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราเผชิญสถานการณ์เช่นนี้
เราในฐานะนักปฏิบัติธรรม จะนิ่งได้เหมือนเขาหรือไม่ เพราะถ้าเรานิ่งได้ แสดงว่าเราเป็นผู้ที่ปฏิบัติมากพอ แต่ถ้ายังนิ่งไม่ได้ยังตระหนกตกใจโวยวาย
ก็แสดงว่าเรายังรักษาสติไม่เป็น
วิธีแก้คือ กลับไปย้อนดูการบ้าน 10
ข้อ ที่ท่องทุกวัน แล้วก็ทำจริง ๆ ให้เป็นวันสว่างของเราเสียที
เป็นเรื่องของนักสร้างบารมีที่มีชีวิตเหมือนติดอยู่ในถ้ำ
มันมีทางออกเสมอที่ปลายทาง แต่ต้องอยู่นิ่ง ๆให้พอ
แล้ววิเคราะห์พิจารณาแล้วหาทางออก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2561 พระครูสังฆรักษ์อน...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น