วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561


โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา 
วันจันทร์ ที่ 11 เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2561
พระมหาโกมล สุภจิตฺโต  
แสดงธรรมเรื่อง ไม่ถือมงคลตื่นข่าว
ห้อง SPD 4 สภาธรรมกายสากล
******************
                         ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าและมหาปูชนียาจารย์ เจริญพรนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทุกท่าน 
ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ ในปัจจุบันเรารับสื่อเยอะมาก เนื่องจากเทคโนโลยีไปไกล ถ้าเราไม่มีธรรมะประจำใจ อาจจะทำให้ผิดพลาดได้ในการรับสื่อ สิ่งนี้พระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะกับอุบาสก อุบาสิกา  ธรรมอุบาสก 5 ข้อ 1 . มีศรัทธา 2 . มีศีล 3 . ไม่ถือมงคลตื่นข่าว     4 . ไม่แสวงหาทักขิไณยภายนอก 5 . กระทำการสนับสนุนในพระพุทธศาสนานี้เป็นเบื้องต้น

ใครทำทั้ง 5 ข้อ จะชื่อว่าเป็นอุบาสกรัตน  คืออุบาสกแก้ว ที่พุทธเจ้าสรรเสริญว่าได้มาสั่งสมบุญพุทธศาสนา ประกาศตัวเป็นอุบาสก ก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ ขึ้นต้นด้วยศรัทธาก็จริงอยู่ ปกติเราทำที่ขึ้นต้นด้วยศรัทธาทั้งหลาย จะจบท้ายด้วยปัญญา ศรัทธาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ถือว่าความงมงาย มีศรัทธาอย่างเดียว ถ้าเราศรัทธาถูกที่  จะไม่มีปัญหา ถ้าเราศรัทธาผิดจะมีปัญหา ศรัทธาต้องประกอบด้วยปัญญา 

                         ตั้งแต่ข้อ 3 ขึ้นไปต้องใช้ปัญญา ตั้งแต่ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่แสวงหาทักขิไณยภายนอก สมัยก่อนจะมีนักบวช ปัจจุบันก็มีนะ สมัยก่อนอินเดียมีนักบวชหลายศาสนา เช่นนักบวชเปลือย ผู้ไม่มีผ้า แม้แต่พระวินัยของพระก็ห้ามภิกษุเอาของเคี้ยวหรือของฉัน ให้กับนักบวชเหล่านี้ เป็นอาบัติ ถามว่าเราไม่เอื้อเฟื้อต่อกัน ถ้าเราต้องการที่จะแสวงบุญจริง ๆ ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่าผู้ที่ประพฤติพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าเลยยกสงฆ์เป็นนาบุญที่เป็นเลิศ  

                        เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา ต้องการแสวงบุญจริง ๆ จะไปแสวงบุญภายนอกอาจจะได้นาที่ไม่ดี ทำไปก็อาจจะไม่ได้ดี ผู้ที่มีปัญญาต้องเลือกก่อนว่าคุ้มค่าหรือเปล่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน ถึงเรื่องที่ว่า ทำบุญกับคนแบบไหน ได้บุญเท่าไหร่  กระทำการสนับสนุนในพระศาสนา ไปตักบาตรทุกวัน ทำบุญวันพระใหญ่ พระเล็ก อะไรก็แล้วแต่ ถือว่ามีใจที่อยากสนับสนุนงานพระพุทธศาสนา นี่ธรรมอุบาสก ที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ    

                         เราได้ยินได้ฟังบ่อย เรื่องพระพุทธเจ้าที่ถูกชนแรงงานจ้างตามด่าถึง 7 วัน คือนางมาคันธียา ตอนแรกพ่อกับแม่ต้องการยกนางมาคันธียาให้พระพุทธเจ้าเพราะไปเห็นลักษณะฝ่าเท้า ซึ่งแม่ฉลาดในการดูลักษณะฝ่าเท้า พอเห็นลักษณะฝ่าเท้ารู้ว่าคนนี้ไม่มีกิเลส พ่อแม้อยากจะเอาลูกสาวให้ บอกว่าคนนี้เป็นลักษณะเท่าผู้ไม่มีกิเลส สุดท้ายก็สอนกระทั่งพ่อแม่นางคันธียา บรรลุเป็นพระอนาคามี

                       นางมาคันธียาได้ยิน พระพุทธเจ้าบอกว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยมูตรและกรีส อุจจาระ และปัสสวะ แม้แต่ปลายเท้าเรายังไม่ได้สัมผัสเลย ก็เลยเกิดความโกรธ ผูกใจเจ็บไว้ วันหนึ่งต้องหาทางเอาคืนให้ได้ เนื่องจากนางสวยมาก พระเจ้าอุเทนรับเป็นมเหสี มียศใหญ่ มีทรัพย์ จ้างกรรมกร คนใช้แรงงาน ไปตามด่าพระพุทธเจ้าด้วยวัตถุ 10 ประการ เจ้าเป็นลา เจ้าแพะ เจ้าเป็นสัตว์นรก เจ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น พระอานนท์เห็นอย่างนี้แล้ว ไม่สบายใจ กราบทูลพระพุทธเจ้าขอให้ย้ายเมืองอื่น พระพุทธเจ้าถามว่าถ้าย้ายไปเมืองอื่น แล้วโดนด่าอีกจะทำอย่างไร พระอานนท์กราบทูลว่า .. ก็ย้ายไปอีก   ถ้าไปเมืองนั้นยังมีคนมาด่าอีก   พระอานนท์กราบทูลว่า .. ก็ย้ายไปอีก

                        พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ใช่วิธีของบัณฑิตนักปราชญ์ อธิกรณ์เกิดที่ใดต้องดับที่นั่น พระอานนท์ถึงยอมรับ แล้วก็บอกว่าพระพุทธเจ้าคนด่าได้ไม่เกิน 7 วัน หลังจากนั้นเรื่องก็เปิดเผยมาว่า พวกนี้เขารับจ้างมาด่า ไม่ได้เป็นเรื่องจริง พระพุทธเจ้าเลยตรัสคาถาบทหนึ่งไว้ ใจความว่า ...เราจักอดทน  อดกลั้น  คำล่วงเกิน เหมือนช้างอดทนลูกศรที่ตกลงจากแล่งในสงคราม  เวลาช้างออกรบ ต้องฝึกอย่างดี ช้างที่ฝึกมาอย่างดีจะอดทน พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องอดทน เหมือนช้างที่อดทนลูกศรมาจากที่ต่าง ๆ สรุปได้ว่าชนเป็นอันมากทุศีล ที่มาด่าพระองค์

                       ในมงคลสูตรพูดถึงเรื่องคนพาล คำของคนพาลไม่เป็นประมาณ อรรถกถาอธิบายไว้ว่า เขาสักแต่พูดได้ เขามีอวัยวะที่สามารถเปล่งเสียงได้ ยิ่งไม่มีศีลพูดอะไรก็พูด ไม่สนว่าจริงหรือไม่จริง คำคนพาลไม่เป็นประมาณ ไม่จำเป็นต้องถือคำคนเหล่านั้น อันนี้คือพระพุทธเจ้าผ่าน 7 วันไป เหตุการณ์คลี่คลาย พระพุทธเจ้ากลับมาสามารถสอนญาติโยม คนที่ด่าไม่มีความรู้ หวังทรัพย์ คนที่เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ไม่ด่าหรอก ทำบุญถูกเนื้อนาบุญก็ดี นี่ทำบาปถูกเนื้อนาบุญก็มีผล   
    
                      เรื่องนางจิญจมาณวิกาเป็นข่าวเหมือนกัน เป็นผู้หญิงอยู่อีกลัทธิหนึ่ง รับคำที่จะมาใส่ร้ายพระพุทธเจ้าเนื่องจากทำให้ลาภสักการะ เดียรถีย์นักบวชนอกศาสนา เสื่อมไป  นางจิญจมาณวิกา รับอาสาที่จะมาทำลายชื่อเสียงของพระพระพุทธเจ้าสุดท้ายด้วยบุญ ความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทำให้ทุกอย่างออกมานางจิญจมาณวิกาใส่ร้ายพระพุทธเจ้าเพราะฉนั้นไม่ควรจะทำการตัดสินใจไปก่อน
เรื่องความเชื่อ กาลามสูตรพุทธเจ้าตรัสไว้ในเมืองชาวเกสปุตตนิคม ชาวบ้านจะถามว่า มีนักบวชแต่ละที่ ๆ มาดูหมิ่นคำสอนศาสนานู้น ศาสนานี่ ยกคำสอนตัวเองว่าดี ก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใคร 

                  ดังนั้นเจอ พระพุทธเจ้ามีชื่อเสียง คุณงามความดีมาก่อนหน้านี้ ชาวบ้านเยอะก็เลยมากราบทูลถาม พระพุทธเจ้าไล่มาเรื่อย 10 ข้อ อย่าตามตำรา อย่าเชื่อตามตรรกะของตัวเอง อย่าเชื่อว่าเป็นอาจารย์ของเราเป็นต้น เชิงลึกไปศึกษาต่อ อย่ารีบเชื่อ จะเชื่อได้เมื่อไหร่  กาลามสูตร เมื่อใดสอบสวนได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่าธรรมเหล่านั้น เป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ  

                    พระพุทธเจ้าทรงเน้นเรื่องการคิดก่อน ต้องพิจารณาก่อนว่า เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล มีโทษหรือเปล่า ถ้าเป็นอกุศล มีโทษก็ต้องละ เป็นกุศลไม่มีโทษ ค่อยถือปฏิบัติ เป็นคำสอนพุทธเจ้าตรัสไว้ในเรื่องของกาลามสูตร

                       การพิจารณาอะไรให้ได้ความจริง ชัดเจนที่สุด ยิ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง ใจเราก็ต้องละเอียด อย่าติดกับอคติ 4   ได้แก่ 1. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะชอบ 2 . โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง 3 . โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง 4 . ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว ถ้าเราจะเป็นชาวพุทธที่ดี แล้วก็รู้จักในการเลือกฟังสื่อ ได้รับสื่อ  ด้วยใจที่เป็นกลาง ๆ

                     สมัยพุทธกาลในคราวสังคายนาพระไตรปิฎก พระอานนท์ไปกราบพระพระพุทธเจ้าพุทธเจ้าให้โอวาทว่า วินัยเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เพิกถอนได้ พระอานนท์ก็รับมา พอมาถึงที่ประชุมสงฆ์ ถามว่า วินัยเล็ก ๆ น้อย ๆ คือข้อไหน พระอรหันต์ก็แบ่ง บางองค์บอกว่าตั้งแต่หมวดนี้ ปาราชิกบ้าง สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์บ้าง แสดงว่าพระอรหันต์มีมุมมองไม่เหมือนกัน

                     มาดูวิทยาศาสตร์ พูดถึงเรื่องการพิสูจน์ความเป็นจริงได้ยังไง วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เริ่มต้นเขาจะ 1 . กำหนดปัญหาก่อน 2 . ตั้งสมมุติฐาน 3. ตรวจสอบสมมุติฐาน 4 . วิเคราะห์ข้อมูล 5 . สรุปผลการทดลอง

                     วิธีการนี้ ในพระพุทธศาสนา มีใครใช้บ้าง ลองคิดตาม เจ้าชายสิทธัตถะก่อนออกผนวชเห็นเทวทูต 4 เห็นสมณะก็คิดว่า โลกเรามีสิ่งตรงกันข้ามกันเสมอ มีมืด-มีสว่าง ถ้ามีตาย ต้องมีหนทางที่ไม่ตาย นี่คือการกำหนดปัญหาว่า มีหนทางที่ไม่ตาย จะหลุดพ้นยังไง
                      แล้วตั้งสมมุติฐาน ก็ต้องเป็นสมณะ เพราะไม่มีภาระอะไรมาก ที่จะต้องมากังวลเหมือนชาวโลก ทำมาหากิน จะได้มุ่งแสวงหาโมกขธรรมเต็มที่

                      ขนาดบำเพ็ญทุกกิริยา 6 ปี ถ้าไม่ใช่กายมหาบุรุษตายแน่นอน เอานิ้วจิ้มท้อง โดนกระดูกสันหลังได้  ได้ไปเรียนสมาบัติ 7 กับ 8 กับอุทกดาบส อาฬารดาบส ใช้หลายวิธีการ สุดท้ายสรุปว่า ไม่ได้ พุทธเจ้าไปทางอัตตกิลมถานุโยค ได้แต่ความลำบาก ดังนั้นกลับมาทางสายกลาง คือพอดี ๆ แล้วตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปโปรดปัญจวัคคีย์ พระพุทธเจ้าเทศน์ที่เราสวดธัมมจักรฯกันตลอด

                      ในธัมมจักรฯพูดถึงเรื่องทางสุดโต่ง 2 สาย คือกามสุขัลลิกานุโยค แล้วอัตตกิลมถานุโยค พระองค์สรุปแล้ว ผลการทดลองที่พระองค์ตรัสรู้ เขาเรียกเป็นวิทยาศาสตร์ทางใจ เอาจริง ๆ วิทยาศาสตร์น่าจะอยู่ในพุทธศาสตร์มากกว่า นักวิทยาศาสตร์ถือว่าได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดคือ Einstein ยังบอกว่า ถ้าจะนับถือศาสนา จะนับถือพระพุทธศาสนา

                      วิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือเป็นสิ่งที่สอนในพุทธศาสนา จะมีอีกอันหนึ่งที่เป็นหลักความสำเร็จคืออิทธิบาท 4 ที่เริ่มต้นด้วยฉันทะ มีกี่ข้ออิทธิบาท 4 เริ่มต้นจาก 1 . ฉันทะ ความรัก ความพอใจ ในสิ่งที่เราอยากจะทำ 2 . วิริยะ มีความเพียร 3 . จิตตะ การที่ใจเราใส่ใจอยู่ตลอด 4 . วิมังสา แปลว่าการทดลอง ทดสอบ ประสบความสำเร็จแน่นอนทำครบ 4 ข้อนี้นะ อะไรที่มีผลกับเรา ถ้าเราเชื่อไปแล้วต้องไปทำอะไรสักอย่าง อันนี้ต้องคิดวิเคราะห์ข้อมูลดี ๆ สรุปผลว่ามันเป็นยังไง

                                Einstein พูดไว้ว่า ถ้ามีเวลาให้เขาแก้ปัญหา 1 ชั่วโมง เขาจะวิเคราะห์ข้อมูลปัญหานั้น 55 นาที 5 นาที หาทางแก้ปัญหา ต้องดูทั้งหมดเท่าที่สามารถจะดูได้ ให้ความผิดพลาดน้อยที่สุด อย่างหลวงพี่เรียนบาลี เวลาทำข้อสอบที่สนามหลวง 4 ชั่วโมง 15 นาที เวลาเยอะนะ แต่ที่เขียนไม่ทันก็เยอะ หลวงพี่ก็เส้นยาแดงผ่าแปด เราต้องดูให้หมด บาลีไม่ได้ตรวจที่ถูก ตรวจที่เราผิด ต้องรอบคอบที่สุดที่จะทำได้ ในเวลา 4 ชั่วโมง 15 นาที

                       อันนี้เหมือนกัน ทำให้นึกถึงวิธีการพระพุทธศาสนา สอนไว้ไม่ด่วนสรุป ต้องมองให้รอบด้าน มันเป็นสิ่งถูกต้อง อาจจะช้าแต่ไม่พลาด ถ้าเร็วแต่พลาด ส่งผลเสียต่อคนอื่น จะก่อวิบากกรรม ก่อความเสียหาย ที่ไม่สามารถจะเอาคืนมาได้ 

                       สมัยก่อนมีคนเชื่อเรื่องดวงดาว ดาวโคจรอย่างนี้ ชีวิตเป็นยังไง ถามว่าปัจจุบันมีคนเชื่อไหม เยอะแยะ พระพุทธเจ้าบอกว่าประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ อธิบายง่าย ๆ คือถ้าคุณทำประโยชน์ก็ได้ประโยชน์นั่นแหละ มัวรอฤกษ์อยู่บางที อาจไม่ได้สิ่งที่ทันการสมัยก่อนเรื่องของการดูฤกษ์ยาม จริง ๆ ต้องดูความเหมาะสมหรือเปล่ากับกาลนี้ คนในปัจจุบันไม่น้อยที่เชื่อเรื่องฤกษ์ยาม

                         ทำไมโกญฑัญญะพราหมณ์ ทำนายลักษณะพระพุทธเจ้าถูกต้อง แสดงว่าวิชชาพวกนี้ต้องมี พระพุทธองค์ตอนตรัสรู้ใหม่ ๆ ได้ฝันเห็นนิมิต ทำนายมาแล้วก็เป็นจริง ฝันมี 4 แบบ จำง่ายคือธาตุวิปริต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ บุญบันดาล เทพสังหรณ์เทวดามาบอก มาเข้าฝัน ยังมีจริงและไม่จริง บุญบันดาลอย่างเดียวจริง 100 % ฝันของพระพุทธเจ้าคือบุญบันดาล ทำให้สิ่งนั้นเป็นจริง 100 % เราไม่มั่นจริง ๆ ว่าบุญบันดาล เราจะไปยึดถือทำไม สิ่งที่เราควรยึดถือ คือกรรมที่เรากระทำ พระพุทธเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าเพราะบุญที่ทำไว้ เราอยากให้ชีวิตดี ไม่ต้องพึ่งหรอกสิ่งเหล่านี้ เราพึ่งบุญที่เราทำนี่แหละ

                                      Einstein บอกว่าไม่ต้องการเป็นคนประสบความสำเร็จ แต่ต้องการเป็นคนที่มีคุณค่า เราทำตัวให้มีคุณค่า เป็นมงคลชีวิตที่สุดแล้ว ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ต้องสนฤกษ์ยาม ใครจะทัก จิ้งจกจะร้อง เรื่องของมัน เราเป็นชาวพุทธศึกษาคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมั่นฟังธรรมตรองดูด้วย โยนิโสมนสิการ ให้รอบคอบ สิ่งนี้เป็นกุศล ดีหรือไม่ดี การถือฤกษ์ยาม เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า พุทธเจ้าตรัสไว้ยังไง 

                         สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และบูชาดีในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย พุทธเจ้าสอนเรื่องกฎแห่งกรรม ทุกอย่างมันมีเหตุ ไม่มีความบังเอิญในสังสารวัฏ อยากจะให้ชีวิตดีออกแบบด้วยตัวเอง คนอื่นออกแบบให้ไม่ได้ ต้องมีบุญเป็นพื้นฐาน ในการทให้ ชีวิตของเราให้ดีขึ้น ชาตินี้ยังบกพร่องอะไรอยู่ ให้แก้ไขซะ  

                          เพราะฉะนั้นอยากประสบความสำเร็จใช้อิทธิบาท 4 อยากเป็นมีสติพิจารณาอะไรดี ๆ นั่งสมาธิละอคติ 4 จะทำให้ชีวิตเราปลอดภัย ทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า ปรโลก เราก็จะไปในที่ดี ๆ เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย อย่าประมาท สั่งสมความดีให้มาก ให้คิดว่ายังมีอะไรอีกที่ต้องทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ขอพระธรรมเทศนาเพียงเท่านี้ ขอเจริญพร  


#ฝันในฝัน   #โรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน   #โรงเรียนฝันในฝัน  #กฏแห่งกรรม #ธรรมะ #แสดงธรรม #นักเรียนอนุบาล  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2561   พระครูสังฆรักษ์อน...