โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
วันจันทร์ที่
25 มิถุนายน พ.ศ. 2561
พระมหาจตุรงค์
จิรฏฺฐิโต
แสดงธรรมเรื่อง
วิถีปฏิบัติต่อรัฐในพระไตรปิฎก ตอนที่ 1
ห้อง
SPD 4 สภาฯ
***************************
กราบคารวะพระเถระผู้มีพรรษากาลแก่กว่ากระผม
สวัสดีเพื่อนสหธรรมิกทุกรูป เจริญพรสาธุชนผู้ใจบุญทั่วโลก
วันนี้จะมาพูดถึงประเทศหรือรัฐในพระไตรปิฎก แต่ก่อนที่จะเข้าเนื้อหา
เรามาชมวีดีโอพระมหาธรรมกายเจดีย์ของเรากัน เพราะช่วงนี้เรามีกิจกรรมงานบุญกันที่พระมหาธรรมกายเจดีย์กันบ่อยขึ้น
มีทั้งคัดหินเกล็ด สวดมนต์ เดินเวียนประทักษิณ ใครที่ยังเดินได้ก็ให้มากัน
ไม่ต้องรอถึงตอนนั่งรถเข็นถึงอยากมา ตอนนั้นเวลาชีวิตเหลือน้อย ทำได้ไม่มาก (วีดีโอ...พระมหาธรรมกายเจดีย์)
ที่เห็นสวย
ๆ กลม ๆ คือเจดีย์อยู่ที่ปทุมธานี ไม่ใช่จานบิน อย่าเห็นเป็นอย่างอื่นนะกิจกรรมช่วงนี้เรามีการคัดหินเกล็ด
ที่เราเห็นที่โบสถ์วัดพระธรรมกาย เราเห็นเกาะที่ผนังไม่หล่นลงมา ผ่านมานานนับสิบ ๆ
ปีก็ยังอยู่ ผู้ที่ได้ทำสมัยนั้นก็ปลื้มที่ได้ร่วมกันคัดหินในสมัยสร้างโบสถ์
แต่บางคนมาไม่ทัน
ตอนนี้มีการสร้างรอบนอกของโบสถ์อีก
ซึ่งต้องการหินสีขาว ก็มาช่วยกันคัดนะ ถ้าเด็กที่พอคัดหินได้ ก็พามาช่วยกันได้
หรือจะมากันเป็นทีม เป็นกลุ่มก็ดี จะได้เสร็จไว ๆ ดีนะมาร่วมกิจกรรมที่วัดเราแล้วไม่เหงา
เราไม่รู้จักกัน แต่พอมานั่งใกล้ ๆ ก็คุยกันได้ คึกคักดี ทำให้มีกำลังใจในการสร้างบารมี
ได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน ต่างคนต่างก็เป็นนักสร้างบารมี เขาอาจจะทำได้ดีกว่าเรา การได้มีโอกาสพบปะกันและเอาบุญกันตรงนี้
ต่อไปวิมานจะใสสะอาด เพราะเราคัดเอาของที่ไม่ต้องการออกไป บุญจะส่งผลทำให้ใจของเราสงบ
มีความสุข ร่างกายแข็งแรง
บุญคัดหินเกล็ด
คัดของที่ไม่ดีออกไป บุญนี้จะส่งผลให้สิ่งที่ไม่ดีออกไปจากร่างกายของเรา ทำให้เราแข็งแกร่ง
อยู่ได้นาน ๆ ไปบังเกิดอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ๆ น่ารื่นรมย์ บุญนี้จะปรับใจและกายของเราให้ผ่องใส
ซึ่งอานิสงส์บุญคัดหินเกล็ดก็จะประมาณนี้
กิจกรรมคัดหินเกล็ดมีถึงวันที่
12 กรกฎาคม พ.ศ.2561 ซึ่งวัดพระธรรมกายเปิดต้อนรับผู้มาสั่งสมบุญ มาสร้างความดีกันทุกคน
ถ้ายังไม่คุ้นเคยอาจจะหลง เนื่องจากพื้นที่วัดกว้าง
ไม่รู้จักก็สอบถามเจ้าหน้าที่ได้
พระอาจารย์ได้ไปรับบุญอยู่ที่บางบาล
ที่นั่นมีพระนิสิตและเจ้าหน้าที่ประมาณร้อยกว่า ถ้าญาติโยมท่านใดสนใจจะไปเอาบุญก็เชิญชวนกันไปได้
ไปเปลี่ยนบรรยากาศกลางทุ่งที่บางบาล เมื่อก่อนเป็นพระนิสิต DCI อยู่ที่วัดพระธรรมกาย
แต่ตอนนี้ย้ายไปอยู่ที่บางบาล ย้ายไปโตที่โน่น
ที่บางบาลเปิดการเรียน
การสอนพระพุทธศาสนา เพื่อให้ทุกคนได้เข้ามาหาความรู้กัน เป็นแหล่งรวมตัวพระไตรปิฎก
ซึ่งห้องสมุดหลักก็อยู่ที่นั่น มีพระที่วัดเราไปเยี่ยมกันเรื่อย ๆ เดินทางจากวัดพระธรรมกายเพียง
40 นาที ก็ไม่ไกลมาก อยู่ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสามารถไปเที่ยวสถานที่อื่นก่อน
และถือโอกาสแวะไปทำบุญกัน ถ้าพาคนใหม่ไป เขายังไม่คุ้นกับการทำบุญ ก็อาจจะพาไปแถวเจดีย์เก่า
ๆ ของพระนครศรีอยุธยาก่อนก็ได้ เรามาดูวีดีโอกัน
(วีดีโอ... แนะนำ สถาบัน DCI จ.พระนครศรีอยุธยา)
สถาบัน
DCI ถือว่าเป็นแหล่งสร้างศาสนทายาทอีกจุดหนึ่ง ซึ่งของวัดเรามีหลายแห่ง
ในสมัยพุทธกาลไม่มีสถานศึกษาที่เป็นระบบ แต่ในยุคต่อมาได้พัฒนาเป็นนาลันทา ซึ่งเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาใหญ่
นาลันทาเป็นสถานที่เข้มแข็งมากของพระพุทธศาสนาในยุคนั้น อยู่ได้ถึง 900 ปี
พบปัญหาหรือจุดอ่อนของคณะสงฆ์อย่างหนึ่งคือ
การเชื่อมความเป็นหนึ่งกับรัฐมักจะไม่ค่อยไปด้วยกัน
เพราะบางทีผู้ปกครองรัฐจะหวาดระแวงพระภิกษุสงฆ์ แต่นาลันทาสามารถเชื่อมโยงกับผู้นำประเทศและเป็นหนึ่งอันเดียวกันได้
เลยอยู่ได้ถึง 900 ปี แต่ก็ยังมีความไม่สมบูรณ์อยู่ คือในช่วงเวลานั้นไปดึงดูดเอาอิสลามเข้ามา
ไม่น่าเชื่อว่าสงครามจากตะวันออกกลางจะลุกลามมาถึงอินเดีย
เมื่อคนอิสลามมาถึง เขาไม่เข้าใจว่าพระคืออะไร เห็นนุ่งห่มเหลืองและมีกองกำลังเป็นหมื่น
ๆ อยู่ในพื้นที่เดียวกัน นึกว่าเป็นทหารจึงฆ่าทั้งหมดเลย และเผาทุกอย่างจนไม่เหลือ
นาลันทาก็เลยล่มสลาย
เรื่องโดนเผาตรงนั้นตรงนี้
เป็นเพียงเรื่องรองลงมา เพราะเมื่อวัดวาอารามไม่มีคนดูแล
เพราะพระโดนตัดคอไปหมดแล้ว นาลันทาก็เสื่อมไป โจรก็มาปล้นซ้ำ อย่างในเมืองไทยของเรา
ถ้าปล่อยให้วัดร้าง โจรพุทธนี่แหละที่จะมาปล้นกันเอง
แสดงให้เห็นว่า
เมื่อพระพุทธศาสนาเชื่อมกับรัฐเป็นหนึ่ง วัดก็อยู่ได้ถึง 900 ปี ซึ่งนาลันทาก็อยู่ได้นานขนาดนั้น
แต่สถานศึกษาของยังไม่ถึงขนาดนั้น ยังต้องพัฒนาอีกมากกว่าจะก้าวไปสู่จุดที่สมบูรณ์
เป็นแบบนาลันทาได้
นาลันทาอาจจะเป็นมหายาน
และเก็บความรู้ของเถรวาทเอาไว้ด้วย ซึ่งพระถังซัมจั๋งก็ได้พระไตรปิฎกไปจากนาลันทา
เพราะมีทุกอย่างอยู่ในห้องสมุดของนาลันทา เฉพาะห้องสมุดพวกศัตรูใช้เวลาเผาเป็นเดือน
เพราะเก็บความรู้ยุคต่อยุคมาตั้งเท่าไหร่ มหาศาลทีเดียว เป็นแหล่งความรู้แหล่งใหญ่
แต่ตอนนี้เหลือแต่ตอแล้ว
ตอนนี้วัดเราก็พยายามเก็บข้อมูลกันใหม่
เก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ และมีการเรียนการสอนกันที่บางบาล สอนเรื่องพระพุทธศาสนา เรื่องราวของวิชชาธรรมกาย
เรื่องราวของวัดเราเป็นอย่างไร ใครมีเวลาก็ไปเยี่ยมเยือนกันได้ อยู่กลางทุ่งนา ไม่มีร้านค้าอื่นเลย
ดีสุดก็มีร้านสหการของเราอยู่ตรงนั้น ร้านผูกขาด ร้านข้างนอกไม่มี (วีดีโอ...ประมวลภาพกิจกรรมงานบุญ ณ สถาบัน DCI จ.พระนครศรีอยุธยา)
ขอให้พระพุทธศาสนาของเราเจริญยิ่ง
ๆ ขึ้นไป ทีนี้เราก็มาพูดเข้าเนื้อหากันเลย คำว่ารัฐ ในบาลีก็คือ รฏฺฐํ ส่วนคำว่าประเทศ
ศัพท์บาลีคือ ปเทโส
ในแคว้นบางทีก็มีรัฐเดียว
บางทีก็มีหลายรัฐ เพราะไปตีได้ดินแดนมาเพิ่ม ก็มาผนวชเป็นเมือง ในวิกิพีเดียบอกว่ารัฐคือกลไกลทางการเมืองโดยมีอำนาจอธิปไตย
ที่มีประชากรมารวมอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง เขาจึงเรียกว่า State เป็นรัฐใหญ่น้อยไม่เท่ากัน
ส่วนในพระไตรปิฎกนั้น
แต่เดิมมีประเทศเดียว คือแผ่นดินว่างเปล่าที่เกิดจากการทำลายของโลก พอถึงจุดหนึ่งเกิดแผ่นดินขึ้นแผ่นเดียว
เนื่องจากโดนเผานาน ๆ ดินก็หอมมาก พรหมก็เลยลงมาจากพรหมโลก มากินง้วนดินที่หอม ๆ
นั้น
ซึ่งพรหมที่นั่งสมาธิก็มี
พวกที่ไม่นั่งก็มี พวกพรหมดูโลกถูกเผาไหม้ เมื่อไฟดับแล้ว กลิ่นหอมของง้วนดินหอมไปถึงพรหมโลก
พวกพรหมได้กลิ่นง้วนดินก็ตามกลิ่นลงมา ง้วนดินหอมมากจนอดใจไม่ไหว
พวกพรหมเหล่านี้ก็กินง้วนดินเข้าไป ปกติพรหมอยู่ได้ด้วยสมาธิ อยู่ด้วยปีติไม่ต้องกินอาหาร
เมื่อพรหมกินง้วนดินเข้าไป ความหยาบก็เกิดขึ้น เหาะกลับพรหมโลกไม่ได้ เลยอยู่ร่วมกันในผืนดินเดียวกันซึ่งมันลอยอยู่ในน้ำ
เป็นแผ่นดินที่มีแผ่นเดียว
พวกพรหมที่กินง้วนดินก็เลยต้องอยู่บนแผ่นดินนี้
แผ่นดินก็มีประเทศเดียว ยังไม่มีระบบอะไรเลย ต่างคนต่างอยู่กันไป อยู่ไปนาน ๆ ก็มองว่าความไม่เท่าเทียมเกิดขึ้น
เนื่องจากกำลังบุญต่างกัน รัศมีต่างกัน ความงามของกายไม่เท่ากันก็เริ่มเบียดเบียนกัน
ซึ่งตอนแรก
ๆ ก็ยังประพฤติพรหมจรรย์กันอยู่ นานเข้าก็เริ่มมีครอบครัว และกลุ่มนี้ก็เข้ากับพวกประพฤติพรหมจรรย์ไม่ได้
เลยต้องแยกกลุ่มออกมา กลุ่มที่มีครอบครัวก็เริ่มกักตุนทรัพยากร เมื่อทรัพยากรไม่เพียงพอ
คนที่ไม่มีก็ทำผิดศีล เกิดการลักขโมยขึ้น จึงเกิดคดีความ
ต่อมาจึงต้องมีผู้ปกครองหรือคนกลาง
เพื่อไกล่เกลี่ยระหว่างคนที่ทะเลาะกัน ผู้ปกครองคนแรกชื่อ มหาสมมติเทวราช
ทำหน้าที่คล้าย ๆ ศาลคอยตัดสิน แล้วก็มีผู้ปกครองตั้งแต่นั้นมา ตอนแรกมีแค่คนเดียว
แต่ตอนหลังไม่เชื่อใจกัน ไม่ไว้ใจ จึงแบ่งเป็นประเทศที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไปเรื่อย ๆ
จนถึงยุคปัจจุบัน มีแผ่นดินที่แบ่งกันเป็นประเทศ
ๆ โดยเฉลี่ยมีประมาณร้อยประเทศ
ในสมัยอินเดีย
พระไตรปิฎกไม่ได้บันทึกเรื่องราวของประเทศกรีก หรือประเทศจีนไว้ จะบันทึกรัฐหรือแว่นแคว้นที่อยู่ใกล้
ๆ กับพื้นที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งแว่นแคว้นที่มีการพูดถึงมี 16 แคว้นคือ อังคะ
มคธ กาสี โกศล เจตี วังสะ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ วัชชี และมัลละ
คันธาระเป็นเมืองการศึกษาอยู่ใกล้บ้านพระสารีบุตร
พระพุทธศาสนาจะวนเวียนอยู่แค่ตรงนี้ แต่พระภิกษุที่มีฤทธิ์จะออกเผยแผ่ที่อื่น ๆ ด้วย
เช่นมาที่สุวรรณภูมิ เพราะฉะนั้นประเทศไทยจึงมีรอยพระพุทธบาทอยู่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่พระผู้มีฤทธิ์จะมานั่งสมาธิบนเกาะ
จะสังเกตว่ารอยพระพุทธบาทในเมืองไทยจะอยู่บนเขา
เพราะว่าท่านจะมานั่งสมาธิบนเกาะหลาย ๆ เกาะ
พื้นที่ที่เรานั่งอยู่ตอนนี้สมัยนั้นเป็นทะเล เพราะฉะนั้นจึงไม่มีรอยพระพุทธบาทข้างล่าง
ที่มีบันทึกไว้
รัฐหรือแว่นแคว้นในสมัยนั้นก็อยู่ประมาณโซนนี้ ถ้านอกเหนือจากนี้ไป เราจะไม่รู้จักว่าเป็นประเทศอะไร
เพราะเขามีวิธีเรียกของเขา ซึ่งเข้าใจกันในสมัยนั้น
มี 2
รัฐที่แยกออกมา คือวัชชีและมัลละ เป็นกลุ่มที่มีผู้ปกครองประมาณ 7,000 คน และเวียนกันขึ้นเป็นหัวหน้า เป็นกลุ่มที่แยกออกมาตั้งเป็นแคว้นเล็ก ๆ อยู่กันด้วยสามัคคีธรรม
ภายหลังถูกพระเจ้าอชาตศัตรูยึดเป็นเมืองขึ้น
ในสมัยพุทธกาลรัฐที่เป็นมหาอำนาจมี
4 รัฐคือ
1.
แคว้นมคธ ปกครองโดยพระเจ้าพิมพิสาร มีความสามารถทางการทหารค่อนข้างสูง สามารถยึดครองอังคะ
และหลาย ๆ เมืองมาเป็นประเทศของตัวเองได้
2.
แคว้นโกศล ปกครองโดยพระเจ้าโกศล มีความสามารถทางการทหารพอ ๆ กับแคว้นมคธ มีแคว้นสักกะ
และแคว้นที่อยู่ใกล้ ๆ แคว้นโกศล เป็นเมืองขึ้น
3.
แคว้นวังสะ ปกครองโดยพระเจ้าอุเทนผู้มีมนต์บังคับฝูงช้างป่า ซึ่งมนต์นี้ได้มาจากท้าวสักกะ
เวลาทำสงครามจะเรียกช้างในป่าทั้งหมดมา ถ้าจะรบกับเขาก็คือรบกับช้างทั้งป่า
4. แคว้นอวันตี ปกครองโดยพระเจ้าจัณฑปัชโชต ผู้มียานพาหนะ 5 ชนิด แคว้นนี้มีความเจริญด้านเทคโนโลยียานพาหนะ
ซึ่งยานพาหนะของพระเจ้าจัณฑปัชโชต คือช้างและรถจะเร็วกว่า เพราะบุญที่ได้ทำในพระพุทธศาสนา
แล้วได้ยาน 5 ชนิดมา
แคว้นอังสะกับอวันตีมักจะทำสงครามกัน
แต่ก็เกรง ๆ อำนาจกันอยู่ เพราะมีความสามารถพอ ๆ กัน มีอยู่ครั้งหนึ่งพระเจ้าจัณฑปัชโชตอยากได้มนต์บังคับช้าง
เพื่อจะได้เป็นมหาอำนาจตัวจริง จึงออกอุบายเพื่อจับพระเจ้าอุเทน โดยสร้างช้างยนต์ยักษ์จุคนได้
60 คน เพื่อบังคับให้ช้างยนต์เดินได้ เพราะรู้ว่าพระเจ้าอุเทนชอบช้าง จึงเอาช้างยนต์ยักษ์ไปหลอกล่อ
ปรากฎว่าอุบายนี้จับพระเจ้าอุเทนได้
เมื่อจับมาได้แล้ว
ครั้นจะให้บอกมนต์เลยพระเจ้าอุเทนคงไม่ยอมสอนให้ จะฆ่าทิ้งก็เสียดายมนต์บังคับช้าง
และพระเจ้าอุเทนก็รู้ว่าที่จับตนมาเพราะต้องการให้สอนมนต์ให้ ก็เลยตั้งเงื่อนไขว่า
ถ้าจะให้สอนมนต์ให้ต้องไหว้เขาก่อน ซึ่งพระเจ้าจัณฑปัชโชตอายุมากกว่า
เกรงว่าจะเสียหน้า จึงออกอุบายโดยส่งลูกสาวชื่อวาสุลทัตตาไปเรียนมนต์แทน หลอกพระเจ้าอุเทนว่านางวาสุลทัตตาเป็นหญิงง่อยอัปลักษณ์
และให้เอาม่านกั้นไว้เพื่อไม่ให้เห็นกัน
ขณะสอนมนต์ให้นางวาสุลทัตตา
พระเจ้าอุเทนเกิดความหงุดหงิด เพราะนางจำมนต์ไม่ได้สักที บอกทีไรก็จำไม่ได้
พระเจ้าอุเทนเลยเลิกม่านมาดู พบว่านางเป็นหญิงงาม ไม่ได้เป็นหญิงง่อยอัปลักษณ์อย่างที่บอกไว้
และเกิดความรักใคร่ชอบพอกันจนได้นางวาสุลทัตตาเป็นภรรยา สุดท้ายนางวาสุลทัตตาได้พาพระเจ้าอุเทนหนีกลับเมืองไปได้
นี้ก็เป็นเรื่องที่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ทั้งสองเมืองนี้มักจะรบกัน แต่มีกำลังบุญพอ
ๆ กัน คนหนึ่งมีกำลังบุญควบคุมช้างป่า อีกคนหนึ่งเก่งด้านเทคโนโลยี
ทีนี้มาศึกษากรณีพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ได้บรรลุเป็นโสดาบัน
ที่สวนตาลหนุ่ม เมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว พระเจ้าพิมพิสารจึงได้สร้างวัดเวฬุวันถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ทรงเริ่มที่ผู้นำประเทศก่อน แต่ก่อนที่จะเสด็จมาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร พระพุทธองค์ได้ไปโปรดเจ้าลัทธิบูชาไฟ
คืออุรุเวลกัสสปะ
ซึ่งลัทธิบูชาไฟนี้เป็นลัทธิที่พระเจ้าพิมพิสารและชาวเมืองของท่านนับถืออยู่ ถ้าโปรดเจ้าลัทธิบูชาไฟสำเร็จ
จะทำให้โปรดพระเจ้าพิมพิสารและชาวเมืองได้ง่ายขึ้น เพราะพระเจ้าพิมพิสารและชาวเมืองย่อมเห็นว่า
แม้อาจารย์ที่ตนนับถือยังนอบน้อมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะสนใจรับฟังที่พระพุทธองค์เทศน์สอน
การไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารและชาวเมืองในครั้งนั้น
นอกจากพระเจ้าพิมพิสารจะได้บรรลุธรรมแล้ว ชาวเมืองของท่านยังได้บรรลุธรรมจำนวนเป็นหมื่น
ซึ่งหลังจากนั้นก็ยกกำลังราว 20,000 รูปไปกรุงกบิลพัสดุ์กัน
พระเจ้าพิมพิสารสร้างวัดเวฬุวันถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยใช้เวลาไม่นานก็สร้างเสร็จ และไม่ได้ทำพิธีอะไร ถวายเลย ทีนี้เปรตที่เคยเป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสารไม่ได้รับส่วนบุญ
ซึ่งเขารอคอยส่วนบุญอยู่ เนื่องจากพระเจ้าพิมพิสารไม่รู้จักการอุทิศบุญตามหลักของพระพุทธศาสนาจึงไม่ได้อุทิศส่วนกุศล
ตกกลางคืนได้มีเปรตหลายตนมาร้องเสียงหวีดหวิวน่ากลัวทั่วพระนคร พระเจ้าพิมพิสารได้ยินก็เกิดความกลัว
ซึ่งย้อนไปเมื่อ
92 กัปที่ผ่านมา พระเจ้าพิมพิสารภพชาตินั้นได้รับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
เปรตพวกนี้ก็คือคนที่มาร่วมทำครัวปรุงอาหารเลี้ยงพระ ภายหลัง ทำไปด้วย กินไปด้วย
กินเองด้วย ขนไปให้ลูกกินด้วย ซึ่งกินของวัดโดยไม่ผ่านการอนุญาตของวัดมันผิด
และเขาก็ไม่รู้ว่าผิด เห็นว่ามีมาก ยังไงก็มีเหลือเฟือ มีเพียงพอที่จะเลี้ยงพระ
ก็เลยดึงส่วนหนึ่งเอาไปกินเอง กินกันทั้งครอบครัว กลายเป็นบาปหนัก ตายไปตกนรก พ้นจากนรกแล้วขึ้นมาเป็นเปรต
เป็นเวลาถึง 92 กัป ยังไม่ได้อัตภาพเป็นมนุษย์เลย
คิดว่าพระผู้บริสุทธิ์ในยุคนั้นมีมากจำนวนเป็นหลักล้าน
เพราะฉะนั้นกรรมค่อนข้างหนัก นี่ก็ผ่านมาถึง 92 กัปยังไม่ได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน
คือพระกัสสปพุทธเจ้าได้ตรัสแนะนำเปรตพวกนี้ไว้ว่า จะได้หลุดพ้นจากการเป็นเปรตในยุคพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้
คือพระสมณโคดมพุทธเจ้า เพราะญาติของเปรตพวกนี้คือพระเจ้าพิมพิสารจะกลับมาเกิด
เมื่อได้บรรลุธรรมแล้วจะทำบุญอุทิศมาให้ พระพุทธองค์ได้บอกให้เปรตมารอรับส่วนบุญดังกล่าว
เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทำบุญแล้วไม่ได้อุทิศ
เปรตซึ่งได้รับความทุกข์ทรมาน อดอยากมาอย่างยาวนาน จึงไม่ได้รับส่วนบุญดังที่รอคอย
ตกกลางคืนได้พากันร้องเสียงหวีดหวิวดังไปทั่วเมือง พระเจ้าพิมพิสารจึงกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเสียงที่ได้ยิน
พระพุทธองค์จึงเปิดให้พระเจ้าพิมพิสารได้เห็นเปรตที่ยืนอยู่รอบ ๆ และแนะนำให้พระเจ้าพิมพิสารกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลจากบุญสร้างวัดถวาย
เมื่ออุทิศบุญให้เปรตแล้ว
เปรตทั้งหลายจึงได้อัตภาพเป็นเทวดา เป็นทิพย์ เทวดาใหม่ก็ปลื้มใจเบิกบานกันไป ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เปิดให้พระเจ้าพิมพิสารได้เห็นหมู่ญาติที่เปลี่ยนอัตภาพเป็นเทวดาด้วย
เห็นแล้วเกิดความปลื้มปีติใจที่หมู่ญาติไปดี จึงได้เป็นต้นแบบการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ขอยกมาเล่าอีกตอนหนึ่ง
คือตอนที่พระเจ้าพิมพิสารมีพระโอรสมาเกิด มเหสีแพ้ท้องอยากจะกินเลือดในคอของพระเจ้าพิมพิสาร
พูดง่าย ๆ คืออยากจะกินเลือดของพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าพิมพิสารก็ให้กิน ซึ่งคำทำนายบอกชัดเจนว่า
เด็กคนนี้เป็นคู่เวร เกิดมาฆ่าพ่อแน่นอน เป็นทั้งคู่บุญและคู่เวร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่าคำทำนายนี้จะเป็นจริง
จะต้องมีเหตุให้ลูกฆ่าพ่อ คือพระราชโอรสนี้จะฆ่าพ่อ มเหสีก็พยายามจะทำแท้งแต่พระราชาห้ามไว้
และพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันแล้ว จะไม่ฆ่าสัตว์
พอประสูติออกมา
พระเจ้าพิมพิสารก็รักพระโอรสองค์นี้มาก เลี้ยงดูอย่างดี เวลามานั่งฟังธรรมก็มักจะเอาลูกมานั่งตักเสมอ
กระทั่งเริ่มโตเป็นหนุ่ม
ได้ไปหลงเชื่อพระเทวทัตจนคิดจะปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพ่อ
เพื่อจะขึ้นเป็นพระราชา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะตรัสเป็นนัยว่า
ลูกจะทำเหมือนเดิมคือคิดจะฆ่าพ่อ แต่จะบอกตรง ๆ ให้จับขังก็ไม่ได้ ก็บอกอ้อม ๆ ว่าลูกจะทำอย่างไร
และบอกวิธีแก้ให้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกหรือเจ้าชายอชาตศัตรูพยายามจะฆ่าพ่อ
เพราะในอดีตชาติก็พยายามจะฆ่าพ่อตนเองมาหลายภพชาติแล้ว ในอดีตชาติลูกคนนี้พอเริ่มโตเป็นวัยรุ่นจะถูกยุยงให้ฆ่าพ่อแต่ก็ทำไม่สำเร็จ
เพราะในอดีตชาติพระโพธิสัตว์คอยช่วยมาตลอด แนะนำช่องทางป้องกันไม่ให้ลูกฆ่าพ่อได้สำเร็จ
ในชาดกได้บอกไว้ว่า
พระโพธิสัตว์ได้เตือนพ่อทางอ้อมว่าลูกจะฆ่าพ่อ โดยครั้งแรกใส่ยาพิษในอาหาร ซึ่งพระโพธิสัตว์รู้ล่วงหน้าจะเกิดเหตุอย่างไร
จึงแต่งเป็นกลอน เป็นคาถาให้พระราชาไว้สวดท่องในแต่ละช่วง แต่ละจังหวะ เช่น ก่อนนอนให้ท่องนี้
ก่อนจะกินข้าวให้ท่องบทนี้ เป็นต้น ซึ่งพอสวดปุ๊บ ลูกชายตกใจนึกว่าพ่อรู้ว่ามียาพิษในอาหาร จริง
ๆ แล้วพ่อไม่รู้หรอก ก็เลยบอกตรง ๆ ว่ามียาพิษในอาหาร
ต่อมาลูกก็ถูกยุยงให้ฆ่าพ่ออีกเป็นครั้งที่
2 ซ่อนอาวุธเดินไปเดินมา หาช่องทางฆ่า พระโพธิสัตว์ซึ่งได้ให้วิธีป้องกันไว้แล้ว คือให้ท่องกลอน
ก็ช่วยไว้ได้อีก ลูกจึงฆ่าพ่อไม่สำเร็จ
มาครั้งที่
3 ลูกชายมาดักที่ประตูห้อง โพธิสัตว์ก็ให้พ่อท่องกลอนอีก
ครั้งที่
4 ลูกชายแอบนอนอยู่ใต้เตียงของพ่อ ซึ่งก่อนที่พ่อจะนอนก็สวดคาถาตามบทที่พระโพธิสัตว์ได้ให้ไว้ พอสวดปุ๊บ ลูกชายก็ออกมาจากใต้เตียง
ถามพ่อว่ารู้ได้ยังไงว่าผมจะฆ่าพ่อ ก็ถามกันตรง ๆ เลยนะ ลูกฆ่าพ่อไม่สำเร็จอีกครั้ง
สุดท้าย
พระโพธิสัตว์ได้แนะนำให้พ่อขังลูกชายไว้ก่อน ขังไว้จนกว่าตนเองจะตาย
คือรอให้พระราชาสิ้นพระชนม์ จึงค่อยปล่อยโอรสออกมาครองราชย์ ต้องทำแบบนี้
มาภพชาติปัจจุบัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์เป็นนัย คือให้ขังโอรสหรือเจ้าชายอชาตศัตรูเอาไว้
เพราะไม่เช่นนั้นพ่อตายแน่
แต่ภพชาตินี้พระเจ้าพิมพิสารบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว ทรงมีจิตใจอ่อนโยน จึงไม่ได้ทำตามที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำ
แม้ทรงเตือนหลายครั้งก็ตาม ซึ่งมีปรากฏในหลายพระสูตร
ในที่สุดพระเจ้าอชาตศัตรูก็ฆ่าพ่อได้สำเร็จ พระเจ้าพิมพิสารสิ้นพระชนม์เพราะลูกชายนำไปขังคุก
ให้อดอาหารและผ่าเท้า ลูกชายก็เลยทำอนันตริยกรรมไป ทั้ง ๆ ที่ชาติก่อน ๆ แก้ได้
เรามาศึกษากรณีพระเจ้าปเสนทิโกศล มีมเหสีชื่อพระนางมัลลิกา พระเจ้าปเสนทิโกศลมีความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในฐานะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ได้เลื่อมใสในฐานะที่เป็นเจ้าศากยะ ในนี้บอกว่า
พวกเจ้าศากยะจะอัญชลีกราบไหว้พระเจ้าปเสนทิโกศลเนื่องจากเป็นเมืองขึ้น
แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลกลับมากราบไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นชาวศากยะ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณธรรมสูงส่ง
เป็นผู้เลิศด้วยคุณธรรม ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลมีความเคารพในพระรัตนตรัยมาก
ก็เลยกราบไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทีนี้พระเจ้าปเสนทิโกศลจะมีความใกล้ชิดกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหลายประเด็น
เช่น พระนางมัลลิกาซึ่งเป็นมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นบุคคลสำคัญในยุคนั้น ชื่อมัลลิกา
ยุคนั้นที่สำคัญ ๆ มี 2 คน พระนางมัลลิกามเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล มีผิวดำ ส่วนนางมัลลิกาผิวขาวเป็นภรรยาของภาตุลเสนาบดีของพระเจ้าปเสนทิโกศล
ผิวขาวเหมือนดอกมะลิ ตั้งแต่เกิดดอกมะลิร่วงจากท้องฟ้า จึงได้ชื่อว่ามัลลิกา เป็นผู้ที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากท่านหนึ่ง
แต่พระนางมัลลิกาเดิมเป็นสามัญชน
พระเจ้าปเสนทิโกศลนั่งช้างผ่านไปพบแล้วชอบ จึงให้มหาดเล็กไปถามนางว่ามีสามีหรือยัง
ซึ่งก็ยังไม่มี พระองค์ก็เลยรับเข้าวัง แต่งตั้งเป็นมเหสี เนื่องจากพระนางมัลลิกาบุญเต็มเปี่ยมแล้ว
เพราะทำบุญกับพระสารีบุตรและบุญเก่าตามมาทัน จะต้องขึ้นเป็นมเหสีทั้งที่เป็นสามัญชน
และพระนางเป็นคนฉลาดมาก เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของพระเจ้าปเสนทิโกศล
ตอนทำบุญใหญ่คือถวายอสทิสทาน
พระเจ้าปเสนทิโกศลถวายทานแข่งกับประชาชนแพ้ถึง 6 ครั้ง เพราะของที่พระเจ้าปเสนทิโกศลมี
ประชาชนก็มีเช่นกัน พระนางมัลลิกาจึงแนะนำพระเจ้าปเสนทิโกศลให้ถวายอสทิสทาน ซึ่งใช้งบประมาณ
140 ล้านในสมัยนั้น ด้วยวิธีการเอาของที่มีอยู่ในวังมาถวายพระ 500 รูป โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน
เช่นถวายเศวตฉัตร โดยให้ข้าราชบริพาร สนมนางในทั้งหลายมาดูแลภัตตาหาร
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงแข่งชนะ เพราะประชาชนไม่มีสิ่งของเหมือนในพระราชวัง
ในอสทิสทานนั้นมีทั้งคนที่อนุโมทนาและคนที่ไม่ยินดี
ไม่เห็นด้วย ทั้งนี้มีอำมาตย์คนหนึ่งไม่ยินดี ไม่เห็นด้วยในการทำอสทิสทานของพระเจ้าปเสนทิโกศลในครั้งนี้
จึงถูกเนรเทศออกจากเมือง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่การทำบุญเยอะ ๆ จะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
แม้ในสมัยพุทธกาลซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ ก็ยังมีคนประเภทนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องใส่ใจ
มีมากันทุกยุคสมัย ถ้าใครอนุโมทนาคนนั้นก็ได้ส่วนบุญไป
ใครอนุโมทนาในอสทิสทานก็ได้บุญใหญ่ไป ใครที่ติเตียนก็ได้บาปไป
พระนางมัลลิกาเป็นอุปัฏฐายิกาคนสำคัญในพระพุทธศาสนา
ดูแลให้คำปรึกษาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาให้กับพระเจ้าปเสนทิโกศลในหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจ หลายครั้งที่ช่วยแนะนำและพามากราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การสิ้นพระชนม์ของพระนางมัลลิกา
ตอนสิ้นพระชนม์พระนางมัลลิกาใจไม่ใส จึงไปตกนรก ตอนนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลมั่นใจว่ามเหสีต้องไปสวรรค์
เพราะทำบุญมาตลอดชีวิต พอมเหสีสิ้นพระชนม์ก็ตั้งใจมาทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามเหสีตายแล้วไปไหน
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บันดาลให้พระเจ้าปเสนทิโกศลลืมถามทุกครั้ง
ตรงนี้เป็นข้อคิดให้พวกเราทุกคน อย่าคิดว่าทำบุญมาตลอดชีวิตแล้วจะได้ไปสวรรค์
และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสชัดว่า อย่าคิดว่าทำบุญเยอะ ๆ จะได้ไปสวรรค์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่าพระนางมัลลิกามีบุญมาก
มีบาปเพียงส่วนน้อย พระนางมัลลิกาจะตกนรกเพียง 7 วัน พอวันที่ 8 จะหลุดจากนรกไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ดังนั้นถ้าบอกความจริงไปตอนนี้จะทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลเสื่อมศรัทธาจากพระพุทธศาสนา
ดังนั้นภายใน 7 วันนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงบันดาลให้พระเจ้าปเสนทิโกศลลืมถาม
คือมาทุกวันตั้งใจจะมาถามก็บันดาลให้ลืมถามทุกวัน กระทั่งครบ 7 วัน
พระนางก็หลุดจากนรกไปบังเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต พอวันที่ 8
พระเจ้าปเสนทิโกศลมาถามอีก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสบอกเลยว่าพระนางมัลลิกาไปบังเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว
พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ปลื้ม
เรื่องการรับสินบนของพระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
ทำให้ลูกศิษย์ของนักบวชนอกพระพุทธศาสนาหรือนักบวชเดียรถีย์ลดจำนวนไปมาก
ลาภสักการะก็ลดลง ก็มองหาสาเหตุว่าทำไมลูกศิษย์ลูกหาของตนไม่ค่อยมาเหมือนเดิม
คิดว่าน่าจะเป็นเพราะวัดพระเชตวันทำเลดี ทำให้คนไปเข้าวัดเยอะ
เพราะฉะนั้นต้องไปสร้างสำนักของตนใกล้ ๆ วัดพระเชตวัน น่าจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น
โดยไม่ได้มองว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณธรรม
พวกนักบวชเดียรถีย์จึงนำเงินจำนวนมากไปติดสินบนพระเจ้าปเสนทิโกศล
เพื่อขอสร้างสำนักของตนใกล้ ๆ กับวัดพระเชตวัน
ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลตอนนั้นยังไม่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ก็รับเงินนั้นไว้ และอนุญาตให้เดียรถีย์สร้างสำนักของตนใกล้ๆ
กับวัดพระเชตวัน
ขณะก่อสร้าง
เกิดเสียงดังรบกวนการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ในวัดพระเชตวัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ให้พระอานนท์ไปแจ้งพระเจ้าปเสนทิโกศล
แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลไม่ยอมให้เปิดวังรับเรื่อง ไม่คุยด้วย
พระอานนท์เลยเข้าวังไม่ได้
ต่อมา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรไป ก็ไม่เปิดวังรับเรื่องอีก
สุดท้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเสด็จไปเอง จึงต้องเปิดวังต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าว่า ในอดีตมีพระราชาองค์หนึ่ง มีนักบวช 2 กลุ่มเอาของมาให้พระราชาองค์นั้น
ซึ่งนักบวชทั้งสองกลุ่มล้วนมีฤทธิ์ทั้งคู่ ต่างก็เนรมิตสิ่งของให้พระราชาเพื่อต้องการชิงดินแดนกัน
พระราชาก็รับของทั้งสองฝ่าย แล้วก็เกิดปัญหากัน สุดท้ายนักบวชทั้ง 2 กลุ่มก็คิดได้ว่า
ตนเป็นฤๅษี เป็นนักบวช ทำแบบนี้ไม่เหมาะไม่ควรก็เลยเลิก ทั้งสองกลุ่มพากันไปออกจากเมืองจนหมด
ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้มีศีลทั้งนั้น
เมื่อผู้มีศีลออกไปหมด
เทวดาที่รักษาเมืองก็โกรธ เพราะเทวดาชอบผู้มีศีล เทวดาจึงถล่มเมืองจนราบเป็นหน้ากลอง
เมืองล่มสลายกลายเป็นป่าไป ซึ่งเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่าจบ พระองค์ก็สรุปว่า อุรุราชาทำให้ดาบสทั้งหลายแตกกัน
พระราชานั้นพร้อมกับแว่นแคว้นจึงถูกทำลาย ถึงความเสื่อมแล้ว
เมื่อนักบวชนัก
2 ฝ่ายออกไป เทวดาก็จะตามไปด้วย แต่ก่อนไปขอถล่มเมืองก่อน บางที่ก็เป็นป่า บางที่ก็เป็นทะเลทราย
ก็แล้วแต่เขต เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ เทวดาจะถล่มด้วยอาวุธ หิน ทราย
ขึ้นอยู่กับว่าอะไรจะลงมาตอนสุดท้าย ถ้าทรายลงสุดท้ายก็เป็นทะเลทราย
ถ้าหินลงสุดท้ายก็เป็นภูเขาหิน เป็นป่าที่เป็นหิน คนตายหมดทั้งเมือง
ส่วนคนที่ไม่มีวิบากกรรมก็จะถูกดึงให้ออกจากเมืองไปก่อน ก็จะรอดไปได้
ตอนท้ายพระคาถา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะฉะนั้นแล
บัณฑิตทั้งหลาย จึงไม่สรรเสริญการลุอำนาจแก่ฉันทาคติ บุคคลไม่ควรมีจิตคิดร้าย
ควรกล่าวแต่คำที่อิงความจริง พูดง่าย ๆ คือ อย่าโกหกนะ รับเงินสินบนมาใช่ไหม
อย่าลำเอียงนะ ทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลคิดได้ ก็ให้ไปรื้อสำนัก รื้อวัดของพวกเดียรถีย์ออกไป
ต่อไปเป็นเรื่องของการประทุษร้ายนักบวช ในสรภังคดาบส พระโพธิสัตว์ในพระชาตินั้น
เรียนวิชาธนูมา กลับมาที่วังหลวง มีความสามารถมาก
แต่รู้ว่าวิชาธนูจะต้องฆ่าคน จึงคิดออกบวช เมื่อออกบวชแล้ว พระราชาและคนทั้งเมืองพากันออกบวชตามกันหมด
เพราะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากในยุคสมัยนั้น
หนึ่งในผู้ออกบวชตามคือ
กีสดาบส มีผลการปฏิบัติธรรมที่ดี มีฤทธิ์เหาะได้
ชอบมาเข้าฌานในเมืองของพระเจ้าทัณฑกี วันหนึ่งมีหญิงโสเภณีคนหนึ่ง หาเงินไม่ค่อยได้
เดินผ่านมาตรงที่กีสดาบสนั่งอยู่ นางไม่มีจิตเลื่อมใส มองแล้วถุยน้ำลายใส่กีสดาบส แล้วเดินไป
ต่อมาได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใหญ่โตและกลับมามีรายได้
คือบุญเก่ามาส่งเวลานั้นพอดี อำมาตย์คนหนึ่งซึ่งเพิ่งหลุดจากตำแหน่งเห็นโสเภณีได้ตำแหน่งใหญ่โต
และมีรายได้มาก แปลกใจจึงถาม นางโสเภณีเล่าว่าไปถุยน้ำลายใส่ดาบส
อำมาตย์เลยไปลองทำบ้าง คือไปถุยน้ำลายใส่กีสดาบส หลังจากถุยน้ำลายใส่แล้ว
อำมาตย์ก็ได้ตำแหน่งกลับคืนมาในวันนั้น (คลิปวีดีโอ....พิธีกรรมความเชื่อที่ผิดๆ)
เมื่ออำมาตย์ได้ตำแหน่งคืน
คิดว่าวิธีการถุยน้ำลายใส่ดาบสท่าจะดีจริง จึงไปเล่าให้พระราชาฟัง และแนะนำพระราชาว่าถ้าจะให้รบชนะข้าศึกที่ชายแดน
พระราชาต้องไปถุยน้ำลายใส่ดาบสเสียก่อน ปรากฎว่าพระราชาก็ทำตาม แล้วไปปราบกบฏแล้วชนะ
ทีนี้ก็เลยดังไปทั้งเมือง คนก็พากันมาถุยน้ำลายใส่กีสดาบสกันทั้งเมือง แต่ท่านดาบสเข้าฌานอยู่
จึงไม่รู้สึกอะไร แต่เทวดาโกรธที่คนเมืองนี้ทำไม่ดีต่อผู้มีศีล เมืองนี้มีเสนาบดีท่านหนึ่งรู้บุญ
รู้บาป ได้ทำความสะอาดให้กีสดาบส และดาบสได้บอกให้เสนาบดีรีบออกไปจากเมือง เพราะอีก
7 วัน เทวดาจะถล่มเมืองนี้แล้ว เมืองจะล่มสลาย ซึ่งท่านเสนาบดีก็เชื่อบอกชาวเมืองและอุ้มกีสดาบสออกไปจากเมืองด้วย
ชาวเมืองบางคนที่เชื่อก็รีบออกไป
ครั้นถึงเวลา
7 วัน เทวดาจึงโปรยเพชรลงมาก่อน เพื่อล่อให้ชาวเมืองออกมาจากบ้าน จากนั้นก็โปรยอาวุธ
โปรยหิน โปรยทรายทับถมลงมา สุดท้ายกลายเป็นป่า ตายกันทั้งเมือง ส่วนพระเจ้าทัณฑกีและคนที่ตายก็ลงไปสู่มหานรก
สรุปว่า
การให้ร้ายนักบวช พากันฉิบหายทั้งเมือง พระเจ้าทัณฑกีให้ร้ายกีสวัจฉดาบส ขาดคุณธรรมเบื้องต้น
พร้อมทั้งมหาชนและแว่นแคว้น ก็ตกนรกขุมกุกกุละ มีถ่านไฟคุโชนถูกย่างอยู่ในนั้น
วันนี้ก็ขอจบแค่นี้
(คลิปวีดีโอ...Good
Night!)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น