วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
พระมหาคองเขน สิริจนฺโท
แสดงธรรมเรื่อง สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็น
ห้อง SPD 4 สภาฯ
***************************
เหมือนพระวินัยอยู่ในโภชนวรรคของปาจิตตีย์
ในข้อที่ 7
ตอนนั้นมีโรงทานที่เปิดแจกคนยากคนจนทั้งหลายทั่วไป
คนรวยในยุคนั้นก็แจกกันอย่างนั้น มีพระกลุ่มหนึ่ง ท่านก็ไปรับ คนแจกทานก็ดีใจ
วันแรกนิมนต์พระคุณเจ้า ภิกษุเหล่านั้นเห็นอย่างนั้น ก็คิดว่าเข้าท่า ต่อไปเราไม่ต้องไปหาบิณฑบาตที่ไหนอีก
มารับเอาที่โรงทานนี้เลย พอมารับบ่อยเข้า ประชาชนคนที่มารับแจกทานเหมือนกัน
เริ่มมองว่าพระไม่ทำกิจ พากันมา พูดง่าย ๆ ว่าเหมือนมาแย่งอาหารของเขา
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปถึงพระพุทธเจ้า
พระองค์ก็เลยบัญญัติพระวินัยว่า ห้ามพระภิกษุรับอาหารในโรงทานติดต่อกัน 2 วัน
คือควรจะต้องเว้นวันนะ ก็ปฏิบัติกันไป
คราวนี้
พระสารีบุตรท่านเดินทางไปบางแห่ง ท่านไม่สะดวกเรื่องการบิณฑบาต
ท่านก็ไปรับบิณฑบาตที่โรงทานนี้เหมือนกัน แต่พอท่านขบฉันภัตตาหารเสร็จ
ท่านไม่สามารถเดินทางต่อไม่ได้ อาพาธ คือป่วย รุ่งขึ้นอีกวันก็ไปบิณฑบาตไม่ได้
มีคนบอกว่า ก็มีโรงทานแจกอยู่ ทำไมท่านไม่ไปรับ
ท่านก็บอกว่าพระพุทธบัญญัติสิกขาบทเอาไว้ว่า ห้ามรับอาหารในโรงทานติดต่อกัน
ท่านเลยอดอาหารไป 1 วัน พระพุทธเจ้าทราบข่าวอย่างนั้น ก็เลยบัญญัติเพิ่มเติม
เรียกว่าเป็นอนุบัญญัติ ว่าห้ามภิกษุรับอาหารติดต่อกัน 2 วัน ยกเว้นไว้แต่ป่วย
คือพระวินัยมีการขยับขยาย
เพื่อให้ภิกษุนั้นดำรงสมณเพศอยู่ได้ และทำงานพระศาสนาต่อไปได้
ไม่ใช่เอะอะอะไรก็เอาพระวินัยมาจัดการ ถ้าในยุคปัจจุบัน ถ้าพระพุทธเจ้ายังอยู่
พระวินัยคงมีการปรับอีกหลายข้อ ขนาดในยุคของพระองค์ พระวินัยยังมีการปรับหลายรอบนะ
ไม่ใช่ว่าปรับทีเดียว ซึ่งก่อนปรินิพพาน พระองค์จึงสั่งพระอานนท์ว่า
พระวินัยบางส่วนที่เป็นสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ สงฆ์สามารถประชุมและถอดถอนได้
แต่พระอานนท์ไม่ได้ถามต่อไปว่า สิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ประมาณไหน
ก็เลยทำให้พระไม่กล้าถอนสิกขาบท ดังนั้น พอมีโยมมาถวายปัจจัยนะ โอ้โห
เป็นเรื่องราวใหญ่โตเลย คนประเภทนี้นี่ แสดงว่ามันมีวัตถุประสงค์อะไรอยู่
เดี๋ยวเรามาว่ากันต่อไป
หลังจากที่พระเจ้าอชาตศัตรูรู้ว่าพ่อรักมาก
สุดท้ายก็ได้ถวายพระเพลิงศพพ่อไปด้วยความเศร้าสลด
แต่พระเทวทัตเองยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ คือต้องการยึดอำนาจของสงฆ์จากพระพุทธเจ้า
บางคนก็สงสัยถามว่าทำไมพระพุทธเจ้าไม่ยกให้เสียเลยล่ะ เสียสละอะไรมาเยอะแยะ
แต่พระองค์มองว่า ถึงเขาเอาไปพระพุทธศาสนาก็ไม่ขจรขจาย หรือไม่สามารถดำรงพระศาสนาเอาไว้ได้
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสากลที่จะต้องขยายให้เป็นที่ปฏิบัติ
ให้เป็นที่พึ่งที่ระลึกของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่เป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ของคนใดคนหนึ่ง
พอพระเทวทัตเห็นว่ายังไม่บรรลุวัตถุประสงค์
ก็เข้าไปหาพระเจ้าอชาตศัตรูอีก และถวายพระพรว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร
จงรับสั่งให้ราชบุรุษผู้จักปลงพระชนม์สมณโคดม บอกว่าพอตายแล้ว
นี่บรรลุวัตถุประสงค์ของเราไปหนึ่งอย่างแล้ว ท่านได้เป็นกษัตริย์เต็มร้อยแล้ว
ตอนนี้ถึงเราบ้าง ให้ส่งคนมา ส่งนักแม่นธนูมา ถ้าปัจจุบันก็ส่งไอ้พวกสไนเปอร์
หน่วยซีล หน่วยอะไรต่าง ๆ มา เดี๋ยวอาตมาจัดการเองประมาณนั้นนะ
พระเจ้าอชาติศัตรูก็รับสั่งให้ราชบุรุษทั้งหลายมาบอกว่า
พนาย พระผู้เป็นเจ้าเทวทัตสั่งอย่างไรจงทำอย่างนั้น โอ้ ใหญ่จริงๆ กร่างเลย
บอกให้ไปรับใช้ให้ดี ขณะนั้นพระเทวทัตจึงสั่งราชบุรุษคนหนึ่งว่า เจ้าจงไป
พระสมณโคดมประทับอยู่ในโอกาสโน้น จงปลงพระชนม์แล้วจงมาทางนี้ วางแผนดีมาก
โดยส่งนักแม่นธนูไป แล้วก็ส่งอีกคนไปตามประกบฆ่านักแม่นธนูอีก
วางแผนให้ฆ่าทีละชั้น ทีละชั้น ทีละชั้น
สุดท้ายตนจะเป็นคนที่ลงมือจัดการชุดสุดท้ายเอง
แต่พระพุทธเจ้ารู้
ขณะที่พระองค์เดินจงกรมอยู่ นายธนูก็ง้างธนูแต่ปล่อยลูกไม่ออก
พระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมโปรดจนศรัทธา แล้วตรัสบอกแก่นายขมังธนูนั้นว่า
อย่ากลับทางเดิม มีอันตราย ให้ไปทางใหม่ นายขมังธนูชุดที่สองก็รอแล้วรอเล่า
นักฆ่าชุดแรกไม่กลับมาสักที ก็ตามไปดู ไปเจอพระพุทธเจ้า พระองค์ก็แสดงธรรมโปรด
จนกระทั่งศรัทธา ไม่ได้กลับไปรายงาน
จนกระทั่งมีคนหนึ่งได้กลับไปรายงานพระเทวทัต
โอ้ เราก็รู้อยู่ว่าพระสมณโคดมมีฤทธานุภาพ ไม่มีใครสามารถฆ่าได้ง่าย ๆ
ครั้งนั้นบุรุษคนเดียว
ได้เข้าไปหาพระเทวทัตกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า
กระผมไม่สามารถจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นได้ เพราะพระองค์มีฤทธิ์
มีอานุภาพมาก พระเทวทัตจึงกล่าวว่า อย่าเลยเจ้า อย่าปลงพระชนม์พระสมณโคดมเลย
เรานี่แหละจะปลงพระชนม์สมณโคดม ฝีมือเจ้าไม่ถึงหรอก ต้องเราเอง ก็คิดจะลงมือเอง
สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจงกรมอยู่
ณ เขาคิชฌกูฏบรรพต ครั้งนั้นพระเทวทัตขึ้นสู่คิชฌกูฏบรรพต แล้วกลิ้งศิลาก้อนใหญ่ด้วยหมายใจว่าจักปลงพระชนม์พระสมณโคดมด้วยศิลานี้
ยอดบรรพตทั้ง 2 น้อมรับศิลานั้นไว้
สะเก็ดกระเด็นจากศิลานั้นต้องพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทำพระโลหิตให้ห้อขึ้นแล้ว
ขณะนั้นพระผู้พระภาคเจ้าทรงแหงนขึ้นไป
ได้ตรัสกับพระเทวทัตว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ เธอสั่งสมบาป มิใช่บุญไว้มากนัก
คือคิดจะฆ่า พยายามฆ่าแต่ไม่ตาย ก็ไม่ปาราชิกอีก กรรมหนักไหม หนักมาก
ถือว่าเป็นอนันตริยกรรมประเภทหนึ่ง คือยังโลหิตพระพุทธเจ้าให้ห้อ
ภิกษุทั้งหลายรู้ข่าวก็พากันขึ้นเขา
บ้างคิดจะทำร้ายพระเทวทัต บ้างพากันสวดมนต์ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลจะปลงชีวิตตถาคตด้วยความพยายามของผู้อื่นนั้น
มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส
เพราะพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น
คือพระพุทธเจ้าจะไม่ตายด้วยการฆ่าของผู้อื่น นี้เป็นเรื่องสำคัญเลย
ทำได้แค่พระโลหิตห้อ คือสะเก็ดหินกระเด็นไปโดนหลังพระบาทของพระองค์
ประเด็นตรงที่อยากให้พวกเราดูก็คือ
สมัยนั้นในกรุงราชคฤห์มีช้างชื่อนาฬาคิรี เป็นสัตว์ดุร้ายฆ่ามนุษย์
ครั้งนั้นพระเทวทัตเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์ แล้วไปยังโรงช้าง
ได้กล่าวกับพวกควาญช้างว่า พนาย เราเป็นพระราชญาติ สามารถจะแต่งตั้งผู้ที่อยู่ในตำแหน่งต่ำไว้ในตำแหน่งสูงได้
คือเมื่อกลิ้งหินจะฆ่าแต่ไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ละความพยายาม ได้เข้าไปถึงโรงช้าง
รู้ว่าช้างนาฬาคีรีดุร้าย ฆ่าคนได้ ก็คิดวางแผน
วิธีการคือจะเอาช้างฆ่าพระพุทธเจ้าโดยใช้ยศตำแหน่งเป็นตัวล่อ
พระเทวทัตก็เข้าไปหานายควาญช้างบอกว่า
รู้ไหมเราเป็นใคร เราเป็นญาติของกษัตริย์ ถ้าเจ้าทำตามที่เราบอก
เราจะให้ตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์แก่เจ้า นี่ใช้ตำแหน่งล่อ
ถ้าจัดการได้จะให้ตำแหน่งอย่างนั้นอย่างนี้
สามารถจะเพิ่มให้ได้ทั้งเบี้ยเลี้ยงและเงิน
พนาย ถ้ากระนั้นเวลาใด
สมณโคดมทรงดำเนินมาตรอกนี้ เวลานั้นพวกท่านจงปล่อยช้างนาฬาคิรีเข้าไปยังตรอกนี้
ครวญช้างเหล่านั้นรับคำพระเทวทัตแล้ว
โอ้โห ให้เงิน สมมุติเงินเดือน 15,000
ถ้าจัดการอย่างนี้ได้ เดี๋ยวให้เพิ่มเลยเป็นเดือนละ 50,000 เขาก็เอาสิ ใช่ไหม
เขาต้องทำมาหากิน แถมได้ยศถาบรรดาศักดิ์อีก ตำแหน่งจากนายควาญช้างเดี๋ยวก็ได้เป็นหัวหน้าควาญช้างเลย
แต่งตั้งให้เป็นตำแหน่งนั้น ตำแหน่งนี้ นี่สั่งให้จัดการองค์นั้นองค์นี้
เนี่ยเขาคิดกันอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นนะ
ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคครองอันตรวาสก
ทรงถือบาตร จีวร เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์กับภิกษุมากรูป ทรงดำเนินถึงตรอกนั้น
ครวญช้างเหล่านั้นได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำเนินถึงตรอกนั้น
จึงปล่อยช้างนาฬาคิรีที่ถูกมอมเหล้าแล้ว ให้ไปยังตรอกนั้น
คือพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปพร้อมกับพระภิกษุ
ควาญก็มอมเหล้าช้างนาฬาคีรี แล้วก็ปล่อยมันเข้าไปเลย
ช้างนาฬาคิรีได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำเนินมาแต่ไกลเทียว ได้ชูงวง หูตั้ง
หางชี้ วิ่งรี่ไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า นี่ถ้าเห็นช้างชูงวง หูตั้ง หางชี้
อย่าเข้าใกล้มันนะ สัตว์พวกนี้
ช้างนาฬาคีรีวิ่งรี่ไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า
ภิกษุเหล่านั้นได้แลเห็นช้างนาฬาคีรีวิ่งรี่มาแต่ไกล แล้วกราบทูลพระผู้พระภาคเจ้าว่า
พระพุทธเจ้าข้า ช้างนาฬาคิรีนี้ดุร้าย หยาบช้า ฆ่ามนุษย์ เดินเข้ามายังตรอกนี้แล้ว
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จกลับเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งว่า
มาเถิดภิกษุทั้งหลาย เธออย่ากลัวเลย
ข้อที่บุคคลจะปลงชีวิตตถาคตด้วยความพยายามของผู้อื่น นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส
เพราะตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น
ก็ตรัสกับพระภิกษุแม้ครั้งที่ 2 และแม้ครั้งที่ 3 นะ
คราวนั้นคนทั้งหลายหนีขึ้นไปบนปราสาท
บนเรือนโล้น ประชาชนที่ออกมาจะใส่บาตร พอเห็นช้างนาฬาคีรีมาก็แตกตื่น
วิ่งหนีขึ้นไปเกาะบนที่สูง บนหลังคาบ้าง บรรดาคนเหล่านั้น พวกไม่มีศรัทธา
นี่แม้ในยุคพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เขาจะศรัทธาทั้งหมดนะ
เพราะฉะนั้นที่เราทำหน้าที่กัลยาณมิตร อย่าไปคิดว่าเขาจะศรัทธาเราทั้งหมด
ขนาดบารมีของพระพุทธเจ้าก็มีคนที่ศรัทธาและไม่ศรัทธา
พวกที่ไม่ศรัทธา ไม่เลื่อมใสไร้ปัญญา
กล่าวอย่างนี้ว่า ชาวเราผู้เจริญ พระมหาสมณโคดม พระรูปงามจักถูกช้างเบียดเบียน
นี่มารอดูกัน สะใจคิดว่าเสร็จแน่เลย สมณโคดมโดนช้างเหยียบแน่
ส่วนพวกมีศรัทธาเลื่อมใส ฉลาด มีปัญญา
กล่าวอย่างนี้ว่า ชาวเราผู้เจริญ ไม่นานเท่าไหร่นักพระพุทธนาคจักทำสงครามกับช้าง
ส่วนพวกที่ศรัทธาก็บอกกันว่า เอาล่ะ พระพุทธเจ้าของเราจะปราบช้างให้ดู
ก็เหมือนบางองค์
บางท่านที่ไปหน้าถ้ำนั่นไง มันก็วัดกันระหว่างคนที่ศรัทธากับคนที่ไม่ศรัทธา
จ้องกันอยู่นะ เห็นหรือไม่เห็นภายใน 2-3 วันนี้ แต่ก็เห็นนะ
ผู้ที่มีศรัทธาก็เชื่อว่าเห็น ไอ้พวกที่ไม่มีศรัทธาก็ว่าคอยดู มันก็แบ่งเป็น 2
พวกเหมือนกัน
ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแผ่เมตตาจิตไปสู่ช้างนาฬาคิรี
ช้างนาฬาคิรีได้สัมผัสพระเมตตาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ลดงวงลง
แล้วเข้าไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า ยืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์ทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองช้างนาฬาคีรี พลางตรัสด้วยพระคาถาดั่งนี้
เป็นภาษาบาลี บางคนก็บอกว่าเอาคาถานี้ไปท่องในป่า แต่ท่องอย่างเดียวไม่ได้
ต้องแผ่เมตตาด้วยนะ ต้องทำให้เป็น ไม่ใช่ท่องไป วิ่งหนีไป ไม่ใช่อย่างนั้นนะ
ดูก่อนกุญชร เจ้าอย่าไปหาพระพุทธนาค
เพราะการเข้าไปหาด้วยวธกจิต ก็คือจิตที่คิดจะฆ่า เป็นเหตุแห่งทุกข์
ผู้ฆ่าพระพุทธนาคจากชาตินี้ไปสู่ชาติหน้า ไม่มีสุคติเลย เจ้าอย่าเมาและอย่าประมาท
เพราะคนเหล่านั้นเป็นผู้ประมาทแล้ว จะไปสู่สุคติไม่ได้
เจ้านี่แหละจักทำโดยประการไปสู่สุคติได้ คือแผ่เมตตา ยกพระหัตถ์ขวาไปจับที่ศีรษะมัน
แล้วก็กล่าวพระคาถา พูดง่าย ๆ คือเทศน์ให้ช้างฟังว่า ถ้าเจ้าคิดจะฆ่าพระมันบาปนะ
แม้คิดจะจับก็บาปแล้ว ถ้าเจ้าคิดจะฆ่าพระจะไม่มีสุคติเป็นที่ไป เจ้าหายเมาเสีย
มีจิตอ่อนโยนเสีย ก็โปรดสัตว์ไปอย่างนั้น
ผลปรากฏว่า
ลำดับนั้นช้างนาฬาคิรีเอางวงลูบละอองธุลีพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วพ่นลงบนกระหม่อม ย่อมตัวถอยออกไปช่วงระยะหนึ่ง
แลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าไปสู่โรงช้างแล้วได้ยืน ณ ที่ของตน คือเหมือนลูบพระบาท
แล้วทำความเคารพ แล้วก็ถอยไปอยู่ในโรงช้าง
ก็แลช้างนาฬาคิรีเป็นสัตว์อันพระพุทธนาคทรมานด้วยประการฉะนี้ คือพระพุทธเจ้าปราบช้างด้วยการแผ่เมตตาจิต
สมัยนั้น เหตุมาตรงนี้
คนทั้งหลายขับร้องคาถาว่า คนพวกหนึ่งย่อมฝึกช้างและม้าด้วยใช้ท่อนไม้บ้าง
ใช้ขอบ้าง ใช้แส้บ้าง สมเด็จพระพุทธเจ้าผู้แสวงคุณอันใหญ่
ทรงทรมานช้างโดยไม่ต้องใช้ท่อนไม้ มิต้องใช้ศาสตรา คนทั้งหลายต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า
พระเทวทัตนี้เป็นคนมีบาป ไม่มีบุญ เพราะพยายามปลงพระชนม์พระสมณโคดม
ผู้มีฤทธิ์อย่างนี้
พอช้างกลับไป คนก็สอบสวนกันว่า
ช้างมาจากไหน มายังไง ก็รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือพระเทวทัต
ก็ชำแหละกันต่อไปอีกว่า ใครอยู่เบื้องหลังพระเทวทัต นี่ไงฉากหลังในฉากหลัง
บอกแล้วว่าสิ่งที่เราเห็น กับสิ่งที่เป็น มันมีฉากต่อกันไปอีก
เพราะพยายามปลงพระชนม์พระสมณโคดมผู้มีฤทธิ์อย่างนี้
มีอานุภาพอย่างนี้ ลาภและสักการะของพระเทวทัตเสื่อม
ส่วนลาภสักการะพระผู้มีพระภาคเจ้าเจริญยิ่งขึ้น กรรมแม้ของพระเทวทัต
ตอนที่พระเทวทัตเป็นที่ปรึกษา
เพราะยังพระเจ้าอชาตศัตรูให้สำเร็จโทษพระราชบิดาเสียก็ดี แต่งตั้งนายขมังธนูกลิ้งศิลาก็ดี
มิได้ปรากฏเหมือนปล่อยช้างนาฬาคิรีเลย คือกรรมที่พระเทวทัตทำผ่าน ๆ มา
คนทั้งหลายไม่รู้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้มาโพนทะนา แต่พอปล่อยช้างออกมา
ซึ่งคนทั้งหลายกำลังจะออกมาใส่บาตรกลางเมือง โอ้ เป็นเรื่องราวใหญ่โต
ข่าวได้แพร่สะพัดไป
คราวนั้นแลมหาชนได้โจษจันขึ้นว่า
แม้พระราชาพระเจ้าพิมพิสาร ก็เทวทัตนั่นเองเป็นผู้ให้สำเร็จโทษเสีย
เริ่มรู้สึกในใจ แม้นายขมังธนูก็เทวทัตเองแต่งขึ้น แม้ศิลาก็เทวทัตกลิ้งลง
และบัดนี้ได้ปล่อยช้างนาฬาคิรี พระราชาทรงเที่ยวคบคนลามกเห็นปานนี้
ดูสิพระราชาเราไปเชื่อคนบาปถึงขนาดนี้ พระเจ้าอชาตศัตรูทรงสดับถ้อยคำของประชาชน
จึงให้นำสำรับ 500 คืน
นี่เสียงประชาชนเริ่มเซ็งแซ่
ก็ได้คิดว่าพระองค์ได้เดินทางผิดแล้ว ก็ให้ไปยึดเอาของที่เคยอุปถัมภ์
อุปัฏฐากนั้นคืนมา มิได้เสด็จไปยังที่อุปัฏฐากของเทวทัตนั้นอีก
ถึงชาวพระนครก็มิได้ถวายแม้วัตถุมาตรว่าภิกษาแก่เธอซึ่งเข้าไปยังสกุล
ทีนี้ลูกศิษย์ลูกหาพระเทวทัตและพระเทวทัตเองออกไปบิณฑบาต
ประชาชนรู้พื้นเพแล้วว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ทั้งหมด ก็ไม่ใส่บาตร
พอคนทั้งหลายไม่ใส่บาตรก็อด
สมัยนั้น พระเทวทัตเสื่อมลาภสักการะ
แม้แต่พระเทวทัตเองเขาคิดระบบการปกครองสงฆ์ของเขานะ มีการวางแผน
มีแกนนำอะไรเรียบร้อย ชัดเจน มีบริวารอยู่ประมาณ 500
เพื่อจะมายึดอำนาจจากพระพุทธเจ้า พระเทวทัตมีบริวารสัก 500 วางระบบชัดเจน
ถึงใช้คำว่าบริษัท นี่เตรียมการจะยึดอำนาจจากพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าคนเดียวไปขอเลย ก็ไม่ใช่
พระเทวทัตพร้อมกับบริษัท
เมื่อเสื่อมลาภสักการะจึงพากันออกปากขอภัตตาหารในตระกูลทั้งหลายมาฉัน
ประชาชนไม่ใส่บาตรให้เพราะรู้ว่าพระกลุ่มนี้เป็นกลุ่มของพระเทวทัต
พอไม่มีใครใส่บาตรก็หิว ก็เอ่ยปากขออาหาร
คนทั้งหลายจึงตำหนิประณามโพนทะนาว่า
ไฉนพวกสมณะเชื้อสายศากยบุตรจึงเที่ยวปากขอภัตตาหารในตระกูลทั้งหลายมาฉันเล่า
ภัตตาหารที่ดีใครจะไม่พอใจ ภัตตาหารอร่อย ใครจะไม่ชอบใจเล่า
ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนทั้งหลายตำหนิประณามโพนทะนา
บรรดาภิกษุผู้มักน้อยจึงตำหนิโพนทะนาว่า
ไฉนพระเทวทัตพร้อมกับบริษัทจึงเที่ยวออกปากขอภัตตาหารจากตระกูลทั้งหลายมาฉันเล่า
จึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระเทวทัต
ทราบว่าเธอพร้อมกับบริษัทเที่ยวออกปากขอภัตตาหารในตระกูลทั้งหลายมาฉันจริงหรือ
พระเทวทัตทูลรับว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตำหนิแล้วแสดงธรรมีกถา
รับสั่งภิกษุทั้งหลายว่า ถ้าเช่นนั้นเราจะบัญญัติโภชนะ ที่คน 3 คน
พึงบริโภคในตระกูลทั้งหลายแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยอาศัยอำนาจประโยชน์ 3 ประการ
1. เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก
ถ้าแปลเป็นภาษาง่ายๆ ข่มคนหน้าด้าน มันมีนะ เช่น ขอค่ารถบ้าง อะไรบ้าง
ผู้มาบวชในพุทธศาสนามีหลายรูปแบบ เราก็ต้องเลือกดูว่าอะไรเอื้อเฟื้อได้
อะไรที่เอื้อเฟื้อไม่ได้ ท่านจึงใช้คำว่าใคร่ครวญแล้วจึงให้ ไม่ใช่ว่าให้มั่วไปหมด
พิจารณาให้ดี มิเช่นนั้นจะกลายเป็นแหล่งหากินของพวกมิจฉาชีพได้
2.
เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลดีงาม
3. เพื่ออนุเคราะห์ตระกูล
ด้วยหวังว่าภิกษุที่ปรารถนา
อย่าอาศัยพวกทำสงฆ์ให้แตกกัน ก็คือพระองค์บัญญัติสิกขาบทนี้
ก็เพื่อจะให้ภิกษุอยู่ในเพศภาวะที่เหมาะสม
แต่มุมมองพระเทวทัตไม่เหมือนคนทั่วไปนะ
แปลกมากเลย พอพระพุทธเจ้าตรัสว่า เธอจะต้องรู้จักประมาณ มักน้อย สันโดษ
พระเทวทัตก็ปิ้งไอเดียขึ้นมาเลย เราต้องเอาสิ่งนี้แหละทำลายพระพุทธเจ้า
ก็เข้าไปหาแกนนำเลย นี่เขามีแกนนำจริง ๆ นะ
ครั้งนั้นพระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิกะนี่หัวหน้าแกนนำของเขา
พระกฎโมรกติสสกะ พระขัณฑเทวีบุตร พระสมุททัตตะ ถึงที่อยู่
คือแบ่งเป็นสายแกนนำเอาไว้ ครั้นแล้วได้กล่าวกับท่านเหล่านั้นว่า
มาเถิดท่านทั้งหลาย พวกเราจะทำลายสงฆ์ ทำลายจักรของพระสมณโคดม
พระโกกาลิกะกล่าวว่า
พระสมณโคดมมีฤทธานุภาพมาก พวกเราจะทำลายสงฆ์ ทำลายจักรของสมณโคดมได้อย่างไร
พระเทวทัตกล่าวว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย
พวกเราจะไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม แล้วทูลขอวัตถุ 5 ประการ จะเอาวัตถุ 5
ประการนี้ที่คิดคำนวณแล้วว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระจะต้องมักน้อย
สันโดษ แล้วโยมก็ชอบแบบนั้น เอา 5 อย่างมาเป็นตัวทำลายพระพุทธเจ้า
ทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคตรัสสรรเสริญความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา
ความกำจัด อาการน่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียรโดยประการต่าง ๆ วัตถุ 5
ประการ เหล่านี้เป็นไปเพื่อความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด
อาการน่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียรโดยประการต่าง ๆ
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานวโรกาสดังนี้
1. ภิกษุทั้งหลายควรอยู่ป่าตลอดชีวิต
ภิกษุใดเข้าบ้าน ภิกษุนั้นมีโทษ ปรับอาบัติ นี่ขอเลย พอบวชแล้ว ให้พระอยู่ป่า
ห้ามเข้าบ้าน องค์ไหนเข้าบ้านปรับอาบัติเลย ปัจจุบันป่าก็อยู่ไม่ได้นะ เขาไล่ออกมา
แล้วเราจะไปอยู่ไหนกันล่ะนี่
2. ภิกษุทั้งหลาย ควรเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต
ภิกษุรูปใดยินดีกิจนิมนต์ ภิกษุนั้นมีโทษ นี่เข้าบ้านไม่ได้ อยู่ในป่าเท่านั้น
ห้ามมีกิจนิมนต์ ให้ฉันได้แต่อาหารบิณฑบาตเท่านั้น
องค์ไหนฉันอาหารที่โยมนิมนต์ไปก็ปรับอาบัติอีก
3. ภิกษุทั้งหลาย
ควรถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ภิกษุรูปใดยินดีผ้าคหบดี ภิกษุรูปนั้นมีโทษ
นี่พระเทวทัตนำเสนอว่า เป็นพระแล้วให้ใช้จีวรที่เอามาจากกองขยะ
เอามาจากซากศพที่เราเรียกผ้าบังสุกุล ผ้าที่โยมจะถวาย อย่างผ้าอาบน้ำฝน
อย่างนี้ห้ามรับนะนี่ ถ้าตามหลักข้อเสนอของพระเทวทัต
4. ภิกษุทั้งหลาย
ควรอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ภิกษุรูปใดอาศัยที่มุงที่บัง ภิกษุนั้นมีโทษ
นี่บวชแล้วห้ามเข้ากุฏิ ให้นอนใต้ต้นไม่อย่างเดียว
โอ้ แค่ 4 ข้อ
หลวงพี่ว่าพระศาสนาก็หายไปตั้งแต่ยุคนั้นแล้ว พระที่ไหนจะไปนอนอยู่แต่ใต้ต้นไม้
มีทั้งแดด ทั้งฝน ทั้งลม พายุมา จะไปอยู่ได้ยังไง
5. ภิกษุไม่ควรฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต
ภิกษุรูปใดฉันปลาและเนื้อ ภิกษุรูปนั้นมีโทษ คือให้ฉันเจ
ห้ามฉันปลาและเนื้อนี่เน้นมาอย่างนั้น
พระสมณโคดมไม่ทรงอนุญาตวัตถุ 5
ประการนี้แน่ พระเทวทัตรู้ด้วยนะ นั่งวิเคราะห์ นั่งวินิจฉัยกันเรียบร้อย
พระพุทธเจ้าต้องไม่อนุญาตแน่นอน เพราะเป็นข้อเสนอที่สุดโต่ง พวกเราจะใช้วัตถุ 5
ประการนี้ ชักชวนให้ประชาชนเชื่อถือ ท่านเหล่านั้นปรึกษากันว่า
พวกเราสามารถที่จะใช้วัตถุ 5 ประการ ทำลายสงฆ์ ทำลายจักรของพระสมณโคดมได้
เพราะยังมีพวกมนุษย์ที่เลื่อมใสในการปฏิบัติปอนๆ นี่บอกไว้ชัดเจนเลยว่า
ข้อเสนอนี้เป็นไปเพื่อการทำลายพระพุทธศาสนาเลยนะ คือจะทำลายพระพุทธเจ้า
และจะทำลายพระ ทำลายสงฆ์
ข้อเสนอทั้งหมด
เราต้องดูว่าเขาเสนอเพื่ออะไร ชัดเจนว่าเป็นการเสนอเพื่อทำลาย
ดูเหมือนดีแต่มีเบื้องหลัง มีฉากหลัง เพราะฉะนั้นไอ้ข้อเสนอทั้งหลายที่เราเห็น
เราต้องตามให้ทัน เช่น พระห้ามจับเงิน พระต้องไปอยู่ตามป่าตามเขา พระต้องไม่ใส่รองเท้า
เสนอเพื่ออะไร มันสุดโต่ง นี่มันยุคไหน มันสุดโต่งเหมือนพระเทวทัตนะเนี่ย
วัตถุประสงค์ชัดเจน เสนอเพื่ออะไร
นี่เขาประกาศชัดเจนในที่ปรึกษา ในหมู่แกนนำของเขา บอกว่าเนี่ย
พระพุทธเจ้าต้องไม่อนุญาตแน่ ๆ มันเป็นข้อสุดโต่งที่ทำไม่ได้ แต่เราจะเสนอเพื่อทำลายพุทธเจ้า
ทำลายพุทธศาสนา เรียกว่าทำลายสงฆ์
นี่ก็เหมือนกัน
ปัจจุบันทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย การเดินทาง การใช้น้ำ ใช้ไฟ ล้วนมีค่าใช้จ่าย
แล้วมาบอกไม่ให้พระใช้เงิน แล้วจะให้ใช้อะไร จะไปจุดเทียน ใช้ตะเกียงเหมือนยุคก่อน
ถึงบอกว่าข้อเสนอแต่ละอย่างที่เขาเสนอมามันมีฉากหลัง มีเบื้องหลัง
เป็นไปเพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายจักรไหม อันนี้ก็น่าคิด
ถึงบอกว่าสิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็น
ครั้งนั้นพระเทวทัตพร้อมบริษัท
ได้เข้าเฝ้าพระผู้พระภาคเจ้าที่ประทับ ได้ถวายอภิวาทนั่งลงที่สมควร
กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระองค์ตรัสสรรเสริญความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา
พระพุทธเจ้าสอนให้สันโดษ แต่เอาความสันโดษมาเป็นเงื่อนไขในการทำลาย จึงขอเลย 5
ข้อนี้
พระผู้พระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลยเทวทัต
ภิกษุรูปใดปรารถนาป่าก็จงอยู่ป่าเถิด ภิกษุรูปใดปรารถนาอยู่บ้าน
ก็จงอยู่ละแวกบ้านเถิด พระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับ องค์ไหนชอบอยู่ป่าก็อยู่ป่า
องค์ไหนชอบละแวกบ้าน ก็อยู่ละแวกบ้าน ข้อสำคัญคือให้ปฏิบัติให้หมดกิเลส
ภิกษุรูปใดปรารถนาเที่ยวบิณฑบาตก็บิณฑบาตเถิด ภิกษุรูปใดปรารถนายินดีกิจนิมนต์ ก็รับกิจนิมนต์เถิด องค์ไหนที่โยมนิมนต์ไปฉันก็ให้รับได้ ก็ไม่ได้บังคับ พระพุทธเจ้าท่านอะลุ่มอล่วย ให้ลูกอยู่ได้นะ ไม่ได้สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง ฆราวาสปัจจุบันจะเอาเป็นเอาตายกับพระ มันจะเก่งกว่าพุทธเจ้า พวกนี้เป็นพวกที่ไม่เคยบวช จะมาบัญญัติสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถึงบอกว่าเขานำเสนอเพื่ออะไร ไปดูกันให้ดี
ภิกษุรูปใดปรารถนาก็จงผ้าบังสุกุลเถิด
ภิกษุรูปใดปรารถนาก็จงยินดีผ้าคหบดีเถิด เห็นไหมไม่ได้บังคับนะ
องค์ไหนยินดีผ้าบังสุกุลก็ใช้ผ้าบังสุกุลไป องค์ไหนยินดีผ้าที่คหบดีถวายมา
ก็รับได้ เป็นการดีที่โยมจะได้บุญด้วย
เทวทัตเราอนุญาตถือเสนาสนะตามโคนไม้ 8
เดือนเท่านั้น เราอนุญาตปลาและเนื้อบริสุทธิ์ด้วยอาการ 3 อย่างคือ ไม่ได้เห็น
ไม่ได้ยิน ไม่ได้นึกสงสัย อย่างรับนิมนต์ไปนอนที่บ้านโยม
ตกกลางคืนได้ยินเสียงไก่ร้องกะต๊ากๆ เช้ามามีแกงไก่มาถวาย
ก็นึกสงสัยว่าไก่ตัวเมื่อคืนนี้แน่เลย อย่างนี้ก็ไม่สมควร
หรือไปเห็นปลาช่อนก็บอกโยมเอาตัวนี้ ทุบหัวมันให้อาตมาหน่อย อย่างนี้ก็ไม่ได้
คือถ้าอาการ 3 อย่าง ไม่ได้เห็น
ไม่ได้ยิน ไม่ได้นึกสงสัย ก็ขบฉันไป เพราะขบฉันเพื่อเอาเรี่ยวแรงไปประพฤติปฏิบัติเพื่อการกำจัดอาสวกิเลส
พอพระพุทธเจ้าปฏิเสธอย่างนั้น
พระเทวทัตดีใจเลย เป็นไปตามที่ตนตั้งเป้าเอาไว้ วิเคราะห์เอาไว้
ครั้งนั้นพระเทวทัตร่าเริงดีใจว่า พระผู้มีพีระภาคไม่ทรงอนุญาตวัตถุ 5 ประการนี้
พร้อมกับบริษัทลุกขึ้นจากอาสนะ ถวายอภิวาท ทำประทักษิณแล้วจากไป
สมัยนั้น
พระเทวทัตพร้อมบริษัทเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ ใช้วัตถุ 5
ประการชักชวนให้ประชาชนเชื่อถือด้วยการกล่าวว่า
พวกเราเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมทูลขอวัตถุ 5 ประการแล้ว นี่ถือโอกาสเลย
พอพระพุทธเจ้าปฏิเสธวัตถุ 5 ประการ ได้เตรียมแกนนำเอาไว้แล้ว ก็พากันเข้าไปในเมือง
ประกาศข่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เคร่งจริง
เหมือนที่เขาใช้สื่อต่าง ๆ โพนทะนากัน
แล้วพวกเราก็ชอบนะ ไอ้ที่เขาด่ามาที ก็พากันแชร์ไปเป็นล้าน แต่พอเราเทศน์ที
แชร์กัน 2 -3 คน คำโกหก คำด่า พากันแชร์เป็นล้าน คำดี คำมีสัจจะแชร์กันแค่ 2-3
จะไปสู้ได้ยังไง อย่าลืมนะ เมื่อคราวที่แล้วได้เทศน์ไว้ พึงชนะคำโกหกด้วยคำจริง
ที่ป้าคนนั้นคนนี้เขาด่าพระ เราไม่ต้องไปแชร์หรอก
ก็แชร์ก็เหมือนขยายคำด่าไปทั่วโลก เราต้องแชร์สิ่งดี ๆ ที่เป็นบุญกุศล
เป็นกิจกรรมดี ๆ ออกไปให้เยอะที่สุด
ถือโอกาสโพนทะนา
ประกาศข่าวกันไปอย่างนั้น ประชาชนพวกที่ไม่ศรัทธา ไม่เลื่อมใส มีความรู้ไม่ดี
กล่าวว่าพระสมณเชื้อสายศากยบุตรประพฤติกำจัดกิเลส เคร่งครัด
ส่วนสมณโคดมดำริเพื่อความมักมาก ดูสิ พอพูดเยอะเข้า ๆ เขาทำเป็นระบบ
มีแกนนำแต่งตั้งไว้เรียบร้อย ไปประกาศข่าว
ประชาชนส่วนหนึ่งที่ไม่ศรัทธาอยู่แล้ว
ก็มองผิดเลย เห็นไหมพระพุทธเจ้าไม่ได้เคร่งเหมือนพระเหล่านี้ สู่พระเทวทัตไม่ได้
เนี่ยดีจริง ปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส เขานำเสนอภาพอย่างนั้นไง
เขาต้องการภาพอย่างนั้น อย่าลืมวัตถุประสงค์ที่เขาตั้งกันมาแต่แรก
ที่เขาปรึกษากันว่าจะเอา 5 ข้อมาทำลายพระพุทธเจ้า ทำลายสงฆ์ ทำลายจักร ทำลายพระพุทธศาสนาเลย
นี่พระเทวทัตพร้อมแกนนำก็ถือโอกาสโพนทะนา ประกาศข่าวกันไป
ส่วนพวกมีศรัทธาเลื่อมใส
เป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาด มีความรู้ดีก็ตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า
ไฉนพระเทวทัตจึงเพียรพยายามเพื่อทำลายสงฆ์ ทำลายจักรของพระผู้มีพระภาคเจ้าเล่า
คนที่มีปัญญาส่วนหนึ่งก็นึกได้ว่า การกระทำอย่างนี้เป็นการทำลายพระพุทธเจ้า
ทำลายพระศาสนานี่ มันไม่ได้เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องดีงาม
ซึ่งเราก็รู้อยู่ว่า สิ่งที่นำเสนอคืออะไร สิ่งที่เขาเขียนบัญญัติขึ้นมาคืออะไร
เราก็รู้ว่าฉากหลังคือฉากหลัง ดังนั้นก็ต้องไปดูว่าวัตถุประสงค์ของเขาคืออะไร
ในยุคนั้น
วัตถุประสงค์ของพระเทวทัตคือเพื่อทำลายพระพุทธศาสนา เราก็มาเทียบเคียงกับยุคนี้
แต่วิธีแก้ไขของหมู่คณะเราใช้อะไร ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านใช้อปริหานิยธรรม 7 ประการ
ซึ่งถ้าพูดอย่างนั้นก็จะยืดยาวไป
เอาเป็นว่าสรุปวิธีการที่จะแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปัจจุบัน
ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เราทำอะไรได้บ้าง
สิ่งหนึ่งที่หลวงพี่ได้เห็นครูบาอาจารย์ของเราได้สอนไว้
และเป็นผลดีต่อการช่วยกันรักษา จรรโลงพระพุทธศาสนาก็คือบ้านกัลยาณมิตร
ตรงนี้ต้องไปรื้อฟื้นกลับมา โดยเฉพาะพรรษานี้ ใครมีลูกหลานให้พากันมานั่งสวดมนต์
โดยเฉพาะมาสวดธัมมจักกัปวัตนสูตร
ถ้าเป็นบ้านใครเป็นกัลยาณมิตรหรือเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมบ้านกัลยาณมิตร
ก็ไปรวบรวมหมู่คณะมาสัก 10-30 คนก็ได้ สมัยก่อนเรามีหลายศูนย์นะ พอนานๆ
ไปหายสาบสูญไป ไม่ได้ถูกนำมาใช้ มาปัดฝุ่น ก็เป็นเรื่องใหญ่ลำบาก
เมื่อไม่กี่วันไปเทศน์ที่ศูนย์แก้วศรีวรรณวัฒน์
แถวๆ บางพลัด สมัยนั้นเขานิมนต์ไป ตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่มบวชใหม่ ๆ
จนกระทั่งเราแก่ ไปอีกทีศูนย์นี้ก็ยังอยู่ 20 กว่าปีมาแล้ว
อนุโมทนาเลยนะกับตระกูลศรีวรรณวัฒน์เนี่ย พอเขารู้ว่าหลวงพี่จะไปอเมริกาพรรษานี้
ตระกูลนี้ก็ถวายค่ายานพาหนะมา โอ้ ฉลาดนะ แต่คงไม่โดนตรวจสอบนะ
คือท่านเข้าใจว่านี่มันเป็นกาลทาน กาลทานที่ถวายแก่ภิกษุผู้จะเดินทาง
และท่านฉลาดที่ว่าในเมื่อท่านไม่สามารถไปเผยแผ่ที่ต่างประเทศได้ ท่านก็อาศัยเรา
เราเป็นเหมือนสายโลหิตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอไปเผยแผ่ธรรม สอนธรรมะ คนเข้าใจธรรมะ
ปฏิบัติธรรม ท่านก็มีส่วนแห่งบุญ
นี่นักบุญก็นึกถึงบุญ
ไอ้คนบาปมันก็คิดแบบคนบาป ไม่ต้องมาตรวจสอบ เพราะว่ามันไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น
และก็ไม่ได้หนีเงินทอน เงินถุงอะไรหรอกนะ เพราะไม่มีเงินทอน มันมีแต่จะไม่พอใช้
ท่านเข้ใจเรื่องการทำงาน
เรื่องการเดินทาง เพราะมันต้องมีค่าใช้จ่าย
มานึกถึงท่านเพราะว่าพูดถึงศูนย์ปฏิบัติธรรม
เราต้องรื้อฟื้นบ้านกัลยาณมิตรกลับมานะ ประทับใจคือ บางแห่งเป็นบริษัทกัลยาณมิตร
อย่างที่ประเทศเยอรมัน เมืองไทยมีหลายบริษัทอย่างบริษัทแพลนเนต
ท่านจัดทุกวันศุกร์เว้นศุกร์ บ่าย 3 ถึง 5 โมงเย็น ยอมสละเวลาทำงาน
ให้ลูกน้องมาสวดมนต์ นั่งสมาธิและฟังเทศน์ 2 ชั่วโมง ลูกน้องท่านมีประมาณ 200
กว่าคน คนไหนอยากบวช ท่านก็เป็นเจ้าภาพเอาไปบวชที่เขาแก้วเสด็จ
กลับมาก็มาเป็นอุบาสก มาเป็นผู้นำ แล้วก็มีกิจกรรมใส่บาตร
หลวงพี่ว่า นี่แหละถูกแล้ว
วิถีชาวพุทธของเราจะย้อนกลับมา โดยเอาบ้านกัลยาณมิตรกลับมา
รื้อฟื้นเอาศูนย์ปฏิบัติธรรมกัลยาณมิตรกลับมาให้ได้
แล้วโดยเฉพาะบริษัทกัลยาณมิตรน่าสนใจมาก เรารื้อฟื้นกลับมาให้ได้
เราเสียเวลาให้คนกลุ่มนี้ อาจจะ 1 -2 ชั่วโมง ในเวลางานนั่นแหละ
แต่สิ่งที่จะได้มันมหาศาลเลยนะ
หลวงพี่ตั้งใจว่า ใครก็ตามที่รวบรวมหมู่คณะมาสวดธรรมจักร
นั่งสมาธิวันละชั่วโมงนะ เอาตามพระพุทธเจ้าเลย พระองค์แสดงพระธรรมจักร
มีปัญจวัคคีย์ 5 บวกพระพุทธเจ้าเป็น 6
ถ้า 6
ท่านสามารถรวมกันมาสวดมนต์ได้ตลอดพรรษานี้ ทุกวัน วันละชั่วโมง
ออกพรรษาให้มารับรางวัลพิเศษกับหลวงพี่นะ มาลงชื่อเอาไว้ก่อน
เดี๋ยวหลวงพ่อกลับจากอเมริกาจะเอารางวัลพิเศษมาให้ นี่ประกาศไปทั่วโลกเลย
เอาบริษัทก็ได้ เอาบ้านก็ได้ เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมก็ได้ ไม่ต้องมาก เอาอย่างน้อย 6
ท่าน วันละ 1 ชั่วโมง สวดธรรมจักรและนั่งสมาธิกัน ให้พาลูกพาหลานทำอย่างนี้
ชาวพุทธเราจะเข้มแข็งขึ้นมานะ ตอนนี้ สถานการณ์นี้เราทำอะไรไม่ได้เลย
เพราะเขามาเหนือเมฆ คือใช้กฎหมาย เขาใช้กฎหมาย ก็ต้องสู้ด้วยกฎหมาย
ก็ขออนุโมทนากับทีมกฎหมายที่ท่านทำเพื่อพระพุทธศาสนานะ
เราเองก็ต้องสู้ด้วยบุญก็คือการปฏิบัติ
ไปชักชวนกันมาฟื้นฟูปัดเป่าเอากิจกรรมบ้านกัลยาณมิตรกลับคืนมา เอาศูนย์กัลยาณมิตรกลับคืนมา
เอาบริษัทกัลยาณมิตรกลับคืนมาให้ได้
แล้วพระพุทธศาสนาก็ถูกฟื้นฟูกลับมาสู่ความเจริญรุ่งเรืองอีกวาระหนึ่ง
วันนี้ก็ขออนุโมทนา ขอให้บุญรักษา
ให้ทุกท่านมีแต่ความสุข ความเจริญ มุ่งมาดปรารถนาสิ่งใดในทางที่ชอบ ประกอบด้วยกุศล
ขอความปรารถนานั้นจงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ
ขอให้มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงพระธรรมกาย
ติดตามมหาปูชะนียาจารย์สร้างบารมีไปถึงที่สุดแห่งธรรม จงทุกท่านทุกประการเทอญ
(ทบทวนบุญ พิธีถวายผ้าอาบน้ำฝน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น